ที่มา สยามรัฐ
วิทยา ตัณฑสุทธิ์30/12/2552
คำว่า ” สองมาตรฐาน “ ซึ่งภาษาอังกฤษใช้คำว่า “ Double Standard “ หมายถึงการใช้ระบบที่ผิดแผกแตกต่างกัน มาจัดการกับเรื่องที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน เป็นการกระทำแบบเลือกปฏิบัติ ตรงกับภาษิตไทยที่ว่า “เลือกที่รัก มักที่ชัง “
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดนกล่าวหาว่าใช้ระบบสองมาตรฐานในหลายเรื่อง ซึ่งลำดับได้ดังนี้
1.ปล่อยให้คดีม็อบเสื้อเหลืองดำเนินไปอย่างอืดอาดล่าช้า คดีดังกล่าวได้แก่การยึดทำเนียบ, ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ และการก่อจลาจลวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แต่คดีของพวกม็อบเสื้อแดงกลับเร่งทำอย่างรวดเร็ว
2.รัฐบาลใช้กฎหมายพิเศษในด้านการรักษาความสงบ กับพวกม็อบเสื้อแดงที่จัดชุมนุมในหลายครั้ง โดยเปิดทางให้ฝ่ายทหารเข้ามาร่วม เสริมกับตำรวจใช้อำนาจควบคุมกลุ่มม็อบ มีการปะทะกันที่พัทยาและในกรุงเทพฯช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา แต่ไม่เคยนำกฎหมายพิเศษมาใช้กับพวกม็อบเสื้อแดง
เรื่องนี้ฝ่ายรัฐบาลอ้างว่า ม็อบเสื้อแดงใช้ความรุนแรงเผาบ้านเผาเมือง ปิดถนนทำให้ประชาชนเดือดร้อน จึงต้องใช้กฎหมายรักษาความมั่นคง ผิดกับฝ่ายม็อบเสื้อเหลืองที่ชุมนุมกันโดยสงบ ไม่มีเค้าว่าจะเกิดเหตุรุนแรง
ข้ออ้างนี้ถูกพวกม็อบเสื้อแดงโต้กลับไปว่าไม่จริง เพราะม็อบเสื้อเหลืองมีหน่วยกองกำลังของตนคือ “นักรบศรีวิชัย” มีอาวุธประจำตัว นอกจากนี้ยังปิดถนนปะทะกับตำรวจมีการขว้างปาระเบิดปิงปอง ใช้ไม้เสาธงเหลาแหลมทิ่มแทงประชาชนและตำรวจ ใช้น็อตยิงด้วยหนังสติ๊ก และที่เสียหายหนักจนทำให้เศรษฐกิจทรุดก็คือการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้นานาประเทศไม่กล้าเดินทางมาไทย
3.เมื่อมีการทจุริตเกิดขึ้นในกลุ่มคนของรัฐบาลเช่นการแจกปลากระป๋องเน่าให้ผู้ประสบภัยพิบัติภาคใต้ ก็ไม่สามารถจับกุมตัวผู้ทำผิดมาดำเนินคดีได้ มีเพียงนายวิฑูรย์ นามบุตร รมต.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แสดงความรับผิดชอบด้วยการบื่นใบลาออกไปคนเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องฉาวโฉ่ในโครงการชุมชนพอเพียง เพราะมีกลุ่มคนทำตัวเป็นหน้าม้า ไปเสนอขายสินค้าแก่ชาวบ้านในลักษณะหลอกลวงฉ้อฉล สินค้าส่วนใหญ่มีราคาแพง และไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านต้องการ เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา ทำให้รัฐบาลต้องหยุดโครงการเอาไว้ แต่การสอบสวนหาตัวคนทำผิดก็ไม่มีอะไรคืบหน้า โดยเฉพาะนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯที่ดูแลเรื่องนี้ กลับไม่ถูกตั้งกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด
เรื่องที่ยกมาให้ดูข้างต้นนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลถูกมองว่าปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน ซึ่งทำให้นานาประเทศเกิดความไม่เชื่อถือ ส่วนคนไทยก็เกิดความรู้สึกคับข้องใจว่าทำไมรัฐบาลจึงไม่ทำอย่างเท่าทียมในมาตรฐานเดียวกัน
นักข่าวสายทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่า”หล่อหลักลอย” โดยอ้างเหตุผลว่า นายอภิสิทธิ์เป็นคนตั้งกฎเหล็ก 9 ข้อในเรื่องจริยธรรมและคุณธรรมของ รมต. ซึ่งมีกฎข้อหนึ่งระบุว่า เมื่อเกิดเรื่องเสียหายขึ้น ความรับผิดชอบทางการเมืองจะต้องสูงกว่าความรับผิดทางกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติกลับปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำอย่างที่พูด
ต้องขอชมนักข่าวสายทำเนียบ ที่ตั้งฉายาได้ถูกต้องเหมาะสม เพราะหนึ่งปีที่รัฐบาลนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ บริหารประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า นายกฯคนนี้พูดเก่ง พูดคล่อง พูดแล้วฟังเพลิน แต่กลับทำอย่างที่พูดได้น้อยมาก
สังคมใดก็ตาม ถ้าได้ผู้นำเป็นคนที่ยึดมั่นในสัจจะวาจา พูดอะไรออกไปแล้วรักษาคำพูดอย่างแน่วแน่มั่นคง เมื่อทำผิดก็กล้ารับผิดโดยไม่โยนกลองไปให้คนอื่น สังคมนั้นย่อมมีแต่ความสงบสุข จะทำสิ่งใดก็เจริญก้าวหน้า
แต่ถ้าสังคมใดมีผู้นำเป็นคนประเภทพูดดีพูดเก่ง แต่ทำไม่ได้อย่างที่พูด หรือเป็นประเภทเอาดีเข้าตัว โยนชั่วใส่คนอื่น สังคมนั้นก็ยากที่จะอยู่กันอย่างสงบสุข จะมีแต่ความเสื่อมโทรมล้าหลัง ถูกประเทศเพื่อนบ้านวิ่งแซงหน้าไปหมด