ที่มา Thaifreenews
ที่มา – Thai Intelligent News
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
ถ้ากล่าวถึงแวดวงธุรกิจของประเทศไทยในเวลานี้ เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้ยินจากปากของ ดุสิตแห่งหอการค้าไทย ทูตพาณิชย์ของไทยที่ประจำสถานทูตต่างๆทั่วโลก และกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำของไทย เช่น ซีพี จนถึงปัญหาของการบินไทย
เรื่องราวข้างล่างนี้ อาจจะเป็นการบอกให้ผู้อ่านของเราได้ทราบว่า ทำไมประเทศไทยจึงได้เละเทะอย่างนี้
หอการค้าไทย:
เริ่มที่ดุสิต ประธานกรรมการหอการค้าไทย เมื่อเสื้อเหลืองเข้ายึดสนามบิน ดุสิตออกมาประกาศว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลทักษิณต้องไป เพราะทักษิณสร้างปัญหาการเมืองอย่างหนักให้กับประเทศไทย นั่นดูเหมือนจะฟังดูมีเหตุผล แต่ปัญหาคือ เมื่อเสื้อแดงบุกการประชุมสุดยอดแห่งอาเซียน ดุสิตได้ออกมาพูดว่ารัฐบาลต้องหยุดเสื้อแดงให้ได้
ดุสิตได้สร้างผลงานเช่นเดียวกันนี้ในอดีต เช่น เมื่อประเทศไทยเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับจากกัมพูชา ดุสิตออกมาต่อต้านนักธุรกิจไทยส่วนใหญ่ ที่ออกมาชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจจะได้รับผลกระทบเกือบสองแสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของนักธุรกิจไทย และเรียกร้องให้ปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง แต่แทนที่ดุสิตจะเห็นด้วยกลับกล่าวว่า รัฐบาลไทยทำถูกต้องแล้ว และเมื่อครบหนึ่งปีจากการประเมินผลงานของรัฐบาลไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยให้คะแนนรัฐบาล “สอบตก” แต่ดุสิตกล่าวว่า รัฐบาลบริหารประเทศอย่างยอดเยี่ยม
ทูตพาณิชย์:
ทางด้านทูตพาณิชย์ สยามธุรกิจซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์เสนอข้อมูลทางธุรกิจ เพิ่งเปิดเผยข้อมูลโดยกล่าวว่า ด้วยตำแหน่งทูตซึ่งมีเงินเดือนสูงลิ่ว และเบี้ยเลี้ยงไม่อั้น การจะได้ตำแหน่งนั้นต้องมีเส้นสายทางการเมือง สยามธุรกิจกล่าวต่อว่า สถานการณ์ถึงขั้นเลวร้าย เมื่อนักการเมืองต่างแต่งตั้งคนใกล้ชิดของตัวเองเข้ารับตำแหน่ง
สยามธุรกิจกล่าวว่า “การส่งออกของประเทศไทยอยู่ในสภาพลูกผีลูกคน โดยเฉพาะการหาตลาดใหม่ๆซึ่งต้องใช้ทั้งความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม แต่แทนที่จะค้นหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ รัฐบาลไทยกลับแต่งตั้งบุคคลที่มีเส้นสายทางการเมือง”
หนังสือพิมพ์กล่าวต่อว่า สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้น เมื่อบุคคลที่มีเส้นสายทางการเมืองเหล่านี้ สนองผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับนักการเมืองที่ตัวเองรับใช้ “มีความพยายามทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อผลประโยชน์ให้กับนักธุรกิจไทยเพียงหยิบมือที่ถูกเลือกขึ้นมา ซึ่งผลประโยชน์นั้นไม่ได้ตกอยู่กับประเทศไทยโดยส่วนรวม”
วงการธุรกิจเอกชน:
ทักษิณผู้มีพื้นฐานทางด้านธุรกิจโทรคมนาคมในไทย ได้ทวิตเมื่อไม่นานมานี้ว่า ปัญหาเรื่องการประมูลใบอนุญาตคลื่น 3G ในไทยนั้น เนื่องจากมีกลุ่มนักธุรกิจเอกชนของไทยเดินเกมขัดขวางการพัฒนา เพราะต้องการได้ราคาดีที่สุด ในประเทศไทยกลุ่มซีพีมีความใกล้ชิดมากที่สุดกับรัฐบาล ความจริงที่ว่าหลังจากผู้บริหารระดับสูงของซีพีออกมาส่งเสียงปฏิเสธการออกใบอนุญาตคลื่น 3G ว่าไม่เป็นผลดีสำหรับประเทศไทยเนื่องมาจากราคา รัฐบาลก็ตามออกมาขานรับด้วยเรื่องเดียวกัน
ต่อมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนในการประมูลเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มซีพี แต่ปัญหาคือ บรรดาคนไทยระดับมันสมองจำนวนมากซึ่งสนับสนุนขั้นตอนการประมูลก่อนมีการแก้ไข และต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มซีพีและรัฐบาล ถึงเวลานี้ความขัดแย้งส่งผลให้ขั้นตอนทั้งหมดต้องหยุดชะงัก การเลือกตั้งครั้งที่แล้วมา กลุ่มซีพี ได้บริจาคเงิน ๘๐ ล้านบาทให้แก่เพียงพรรคเดียว และนั่นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรัฐบาลของอภิสิทธิ์ในขณะนี้
รัฐวิสาหกิจ:
ประธานกรรมการหรือประธานการบินไทย เราจำตำแหน่งจริงๆไม่ได้ แต่เขามาจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน มีการวิจารณ์ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลในระยะ ๑๐ ปีที่ผ่านมา ในการที่รัฐอัดเงินจำนวนมหาศาลเพื่ออุดหนุนพลังงานของภาคอุตสาหกรรม เป็นการทำลายระบบตลาดเสรี และส่งผลให้เกิดการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย ทุกครั้งที่มีการหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา เขาจะออกโรงแสดงความกราดเกรี้ยวต่อหน้าสาธารณะชน อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานการบินไทยแล้ว และรัฐบาลปัจจุบันยังคงออกนโยบายหลักอย่างต่อเนื่องในการอัดเงินอุดหนุนด้านพลังงานนี้ ประธานการบินไทยคนนี้กลับทำเงียบเป็นเป่าสากในทันที
ในสมัยการบริหารการบินไทยของเขา มีนักการเมืองจำนวนมากที่ใช้เส้นบินฟรี ล่าสุดนี้ กรณี กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลังได้ใช้อภิสิทธิ์ของนักการเมือง ในการอัพเกรดตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางไปพักร้อนส่วนตัวของทั้งครอบครัว
ทำไมพวกเขาถึงขายจิตวิญญาณ:
ทำไมบุคคลทั้งสามกรณีนี้ประพฤติตัวเยี่ยงนี้ เป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบ ดุสิตนั้นมาจากกลุ่มปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร ด้านกระทรวงต่างประเทศ ทูตพาณิชย์อยู่ใต้ใคร ถ้าไม่ใช่กษิต ซึ่งเป็นเสื้อเหลือง และเป็นเสื้อเหลืองที่เลื่องลือกันให้กระฉ่อนว่า ไม่เคารพรักษาทั้งกฎหมาย และคำสั่งใดๆ
แล้วการยกซีพีขึ้นมาถกเถียงกันละ ซึ่งนับเป็นสิบๆปีแล้วที่กลุ่มนักธุรกิจนี้ถูกวิจารณ์ว่า ทำลายชีวิตครอบครัวชาวนาและพ่อค้าปลีกของไทย การออกมาขู่ และการฉวยโอกาสในการทำธุรกิจแบบใหม่ ดูเหมือนว่าซีพีเห็นการเมืองเป็นคำตอบ เป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะห์ประธานการบินไทย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาหมดความสนใจในด้านพลังงานที่เคยสู้มาถึง ๑๐ ปีเพียงชั่วข้ามคืน แล้วเรื่องตั๋วเครื่องบินล่ะ อาจจะเป็นเพราะว่า เขาเป็นเพียงผู้ที่ใจดีต่อนักการเมืองไทย ซึ่งอยู่ฝ่ายรัฐบาลก็เป็นได้
สรุป:
อย่างไรก็ตาม กรณีทั้งหมดข้างต้นเป็นการชี้ให้เห็นว่า นอกจากมีการทุจริตอย่างโจ่งแจ้งแล้ว การเมืองไทยยังมีอิทธิพลก้าวก่ายไปถึงหน่วยงานซึ่งควรจะมีความเป็นอิสระ แน่นอนว่า บล็อกเรานี้จะจับตามองประเทศไทยอย่างใกล้ชิด และจะคอยนำเสนอให้เห็นการพัวพันทางการเมืองและธุรกิจแบบนี้
เราเพียงต้องการเตือนให้ผู้อ่านทราบว่า ขณะนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการทุจริตมากที่สุดในโลก และจากระบบที่เคยมีทั้งประสิทธิภาพและมีสมรรถภาพ ในห้าปีที่ผ่านมา ได้ล้มพังอย่างไม่เป็นท่า และอันดับของระดับความเสื่อมนั้น จัดเป็นลำดับที่สองของโลก