ที่มา บางกอกทูเดย์
ปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นในรอบปี 2552 จริงๆแล้ว มีปมเหตุมาจากการที่นายอภิสิทธิ์ ยอมรับการพลิกขั้วของนายเนวิน แล้วก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งใช้ความเชื่อมั่นสไตล์ “ออกซ์ฟอร์ด” เป็นที่พิงหลัง จนทำให้ถูกมองว่าเป็นสุดยอดเด็กดื้อที่ดื้อได้สุดยอดจริงๆ เพราะแม้แต่อำนาจพิเศษที่พูดกันขรมไปทั้งสังคม นายอภิสิทธิ์ยังดื้อใส่หน้าตาเฉย
“กระจกเงา” มีไว้เพื่อใช้ในการส่องดูเพื่อตรวจสอบหาข้อบกพร่อง หาจุดที่ยังไม่สมบูรณ์ จะได้หาทางทำให้สวยขึ้น ดูดีขึ้น แต่หลายคนเมื่อกระจกเงาสะท้อนจุดแย่ออกมาให้เห็นกลับโกรธเกรี้ยวโมโหโกรธา โทษกระจก หรือพาลทุบกระจกทิ้งก็มีเพราะไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองมีจุดอัปลักษณ์ !!!แต่ก็มีไม่น้อยที่ไม่ว่ากระจกเงาจะสะท้อนความจริงเช่นไร ก็จะหลงรูปว่าตนเองสวยที่สุด ดีที่สุด เก่งที่สุด แล้วก็หลงใหลได้ปลื้มกับเงาของตัวเองหนักหนากว่า “เทพนาซีซัสผู้หลง
เงา” เสียอีกเพราะเทพนาซีซัสนั้น หล่อเหลาสวยงามจริงๆ จะหลงเงาก็คงไม่แปลก แต่ขนาดนั้นการหลงเงาก็ยังนำมาซึ่งความสูญเสียในที่สุดแล้วประเภทที่ความจริงไม่ได้สวยงาม แต่กลับหลงชื่นชมตัวเอง จะอันตรายขนาดไหนบนถนนการเมืองในรอบปี 2552 ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า มีนักการเมืองผู้หลงเงาอยู่ไม่น้อย... แถมมีผู้ที่ควรทำหน้าที่แล้วไม่ยอมทำหน้าที่ก็เยอะ2552 จึงกลายเป็นปีที่บ่มเพาะปัญหาทางการเมืองอย่างรุนแรง!!!2552 จึงต้องถือว่า เป็น “ปีแห่ง
ระเบิดเวลาทางการเมือง” ที่กำลังจะถูกส่งต่อให้มาระเบิดตูมขึ้นในปี 2553 ... แค่ว่า... ช้า หรือ เร็ว เท่านั้นตัณหาการเมืองไม่เคยเข้าใครออกใครยิ่งในปี 2552 การเป็นรัฐบาลภายใต้การพลิกเกมทางการเมือง โดยมี เนวิน ชิดชอบ ผู้ถูกคำสั่งศาลให้เว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี แต่กลับมากบารมีทำให้มีการตั้งรัฐบาล ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ดังนั้นแม้ว่าคนในพรรคประชาธิปัตย์ จะมองว่าเป็นการลดตัว เป็นการฉุดภาพลักษณ์ที่แสนดี
ของนายอภิสิทธิ์ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพื่อการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีตามที่เคยใฝ่ฝันมานานนายอภิสิทธิ์ จึงต้องกอดกันกลมกับนายเนวิน ปานจะรักกันเหลือเกินเป็นภาพประวัติศาสตร์การเมืองในปี 2552 ได้เลยภาพหนึ่งเมื่อกอดจนตัวติดกันปานฝาแฝดเช่นนั้น ก็ช่วยไม่ได้หากจะมีการออสโมซิสพฤติกรรมและความคิดของนายเนวินเข้ามาในตัวของนายอภิสิทธิ์ เพราะหลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ ก็กลายเป็นผู้ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ดั่งใจปรารถนา ใกล้เคียงกับนายเนวิน ผู้ทำอะไรก็
ได้ไม่ว่าบวกหรือลบ ขอให้บรรลุวัตถุประสงค์เป็นพอและกลายเป็นหนึ่งในที่มาของปมปัญหาการเมืองในรอบปียิ่งบรรดาคนแวดล้อมต่างๆ ภายใต้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ที่ถูกแต่งตั้ง ถูกมอบหมายให้รับหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ กลับกลายเป็นยิ่งทำปัญหาให้บานปลายมากขึ้นเรื่อยๆแทนที่จะทำหน้าที่พรากฟืนออกจากเตาไฟ ดังทะลึ่งโหมใส่ฟืนเข้าไปในกองไฟไม่หยุดหย่อน... ประเทศชาติจะไม่ร้อนได้อย่างไรหนักหนาสาหัสที่สุด ก็หนีไม่พ้นรัฐมนตรี
ที่นายอภิสิทธิ์อุ้มกระเตงเพื่อตอบแทนบุญคุณอย่างนายกษิต ภิรมย์ นั่นเองในรอบปีที่ผ่านมา นายกษิตสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน ที่สำคัญที่สุดก็คือ นายอภิสิทธิ์อุตส่าห์เชื่อมั่นให้นั่งเก้าอี้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่กลับไม่เคยทำหน้าที่สร้างสัมพันธ์กับมิตรประเทศเพื่อนบ้านเลยสร้างความร้าวฉานคืองานถนัด... โดยเฉพาะกับประเทศกัมพูชา เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ในการไล่ล่าทำลายล้างทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต
นายกรัฐมนตรีคนในบ้านเลขที่ 111 ใครจะกลับมาเล่นการเมืองในอนาคตไม่เป็นไรแต่หากเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เด็ดขาด... บรรดาผู้ไล่ล่าล้วนไม่ยอม เพราะกลัวเจอรายการเช็คบิลทวงคืน กลายเป็นบรรยากาศที่ไม่สมานฉันท์ของแผ่นดินและกลายเป็นแรงยั่วยุทางการเมือง ให้มีการแสดงพลังประชาธิปไตย
ภาคประชาชนกันไม่หยุดหย่อน แย่ตรงที่กระบวนการทางการเมืองที่แบ่งแยกแตกขั้ว ทำให้กลุ่มพลังประชาธิปไตยภาคประชาชนแบ่งออกเป็น 2 ขั้วไปด้วยขั้ว
กลุ่มพันธมิตร และขั้วกลุ่มคนเสื้อแดง2552 จึงกลายเป็น “ปีกีฬาสีทางการเมืองที่ดุเดือด”ไปก็เพราะเหตุนี้แหละแถมผู้ที่เกี่ยวข้องในหน้าที่ แทนที่จะเป็นกรรมการที่หาทางทำให้ทั้ง 2 ขั้ว ลดแรงกดดันเพื่อสร้างสมานฉันท์ กลับดันแสดงออกภายใต้คำจำกัดความว่า “2 มาตรฐาน”เจอพฤติกรรม 2 มาตรฐานให้เห็นชัดๆ... ที่วุ่นวายอยู่แล้ว ก็เลยยิ่งกลายเป็นโคตรวุ่นวายหนักยิ่งขึ้นไปอีกดูแค่กรณีล่าสุดส่งท้ายปีหมาดๆก็ได้ นั่นคือคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีเงิน
บริจาค 258 ล้านบาท ที่กำลังเป็นเผือกร้อน และตกอยู่ในมือของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ขณะนี้เพราะทำท่าว่าจะเป็นคดีพิสดาร ให้อำนาจสิทธิ์ขาดเพียงเสียงเดียว คือ แค่นายอภิชาตคนเดียวก็สามารถยกคำร้องคดีได้เลย... ซึ่งนายอภิชาตก็แสดงออกชัดเจนว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่ว่าอย่างไรก็เห็นว่าให้ยกคำร้อง ไม่ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์พูดกันโต้งๆมาตลอด แล้วมาถูกมอบหมายให้ตัดสินใจคนเดียว จะเหลือหรือ???
เสียงไม่เห็นด้วยก็เลยระงมทั้งแผ่นดินที่สำคัญไม่ใช่แค่กลุ่มคนเสื้อแดงที่ยืนกรานไม่ยอม และออกโรงกดดันหนัก แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเคยโดนชะตากรรมถูกสั่งให้ยุบพรรคชาติไทยมาแล้ว ยังอดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาถามถึงมาตรฐานที่พึงมี “คดี 258 ล้านบาท จะเป็นการตัดสินที่ใช้มาตรฐานยุบ 4 พรรคการเมืองเดิมหรือไม่?”เช่นเดียวกับพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งถูกยุบพร้อมพรรคชาติไทยและ
พลังประชาชน ก็ย้ำว่า กกต. ควรยึดมาตรฐานเดียวกันเพราะแค่ท่าทีมาจนถึงขณะนี้ ก็แปลกใจมากแล้ว เพราะกกต.ใช้เวลาพิจารณาคดีนี้นานผิดปกติ ทั้งที่ได้รับข้อมูลจากดีเอสไอไปแล้วถึง 7 เดือน “เท่าที่ผมอ่านกฎหมายได้ระบุไว้ชัดเจนว่า เมื่อปรากฏพยานหลักฐานชัดแจ้ง ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคการเมือง โดยกรณีนี้คนทำหน้าที่หาหลักฐานคือดีเอสไอ ซึ่งเขาต้องมั่นใจในพยานหลักฐานต่างๆ แล้ว ถึงส่งเรื่องให้
กกต. แต่กกต. กลับทำเหมือนจะมาสอบใหม่หมด โดยล่าสุดประธานกกต.ก็จะแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูรายละเอียดอีก ทำให้คดีนี้นานผิดปกติต่างจากคดีของ 3 พรรคการเมืองที่ถูกยุบอย่างรวดเร็ว” พ.ต.ท.บรรยินกล่าวซ้ำยังอดสงสัยไม่ได้กับการที่กรรมการกกต. ไม่ยอมร่วมลงมติในคดีนี้ แต่กลับโยนเรื่องให้ประธานกกต. เป็นผู้ชี้ขาด เพราะโดยหลักการไม่ว่าจะพิจารณาคดีใบเหลือง ใบแดง กรรมการกกต.ก็ลงมติได้หมด ไม่ใช่ให้ประธานกกต. ตัดสินคนเดียว แต่ก็
ยังหวังว่าสุดท้ายแล้ว นายอภิชาตน่าจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าตัดสินใจไม่ส่งเรื่องต่อก็ต้องรับผิดชอบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ซึ่งระดับมังกรการเมืองอย่างนายเฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าการที่ออกมาวิจารณ์อย่างเข้มข้น เพราะต้องการเตือนนายอภิชาต ซึ่งเห็นว่าเป็นคนดี ไม่อยากให้ทำในสิ่งเสียหาย เพราะเงิน 258 ล้านบาทที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเป็นเงินบริจาคจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตผู้บริหารบริษัท ทีพีไอโพลีน
จำกัด (มหาชน) นั้น ในความเป็นจริงไม่ใช่เงินของนายประชัย แต่เป็นเงินของผู้ถือหุ้นบริษัททีพีไอ แล้วถูกนำออกมาไซฟ่อนผ่านบริษัท แมสไซอะฯ“แต่อย่ามาอ้างเรื่องข้อกฎหมายว่าพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 และ 2550 แตกต่างกัน เพราะกฎหมายทั้งสองฉบับโทษก็ยุบพรรคเหมือนกัน จึงขอให้ประธาน กกต.ทบทวนให้ดี ผมไม่ได้ข่มขู่ แต่ถ้านายอภิชาตยกคำร้องเรื่องนี้เมื่อไหร่ ผมจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทันที ผมร่าง
หนังสือไว้เรียบร้อยแล้ว”ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นในรอบปี 2552 จริงๆแล้ว มีปมเหตุมาจากการที่นายอภิสิทธิ์ ยอมรับการพลิกขั้วของนายเนวิน แล้วก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งใช้ความเชื่อมั่นสไตล์ “ออกซฟอร์ด” เป็นที่พิงหลัง จนทำให้ถูกมองว่าเป็นสุดยอดเด็กดื้อที่ดื้อได้สุดยอดจริงๆ เพราะแม้แต่อำนาจพิเศษที่พูดกันขรมไปทั้งสังคม นายอภิสิทธิ์ยังดื้อใส่หน้าตาเฉยยิ่งในวันส่งท้ายปี 52 ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ นายอภิสิทธิ์ ยังแสดง
ความเชื่อมั่นสุดๆว่า สบายใจ ไม่ซีเรียสกับเสียงวิจารณ์ว่า เด็กเอาแต่ใจ หรือบางครั้งก็โดนว่า ไม่เป็นตัวของตัวเอง“ผมเชื่อฟังผู้ใหญ่บางคนก็เพราะมีเหตุผล บางโครงการมีข้อมูลหักล้าง ผมก็ไม่ได้ทำ ก็ถูกว่าเป็นเด็กดื้อ สุดท้ายเมื่อตัดสินใจแล้วผมเองคือผู้รับผิดชอบ จะอ้างคนอื่นไม่ได้”ขนาดนี้แล้ว... จะไม่ยกย่องให้เป็น “เด็กดื้อแห่งปี 52” ได้อย่างไร