ที่มา ข่าวสด
กะชึ่กกะชั่กมาจนมีโอกาสได้แถลงผลงานครบรอบ 1 ปี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โชว์เดี่ยวไมโครโฟนบนเวทีหน้าจอโปรเจ็กเตอร์ระบบทัชสกรีน นำเสนอข้อมูลภาพกราฟิกอย่างทันสมัย มีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐไปทั่วประเทศ
สร้างความประทับใจด้วยลีลา "รูปแบบ" สุดไฮเทค
แต่ถ้าลึกลงไปใน "เนื้อหา" หลายคนบอกว่ายังไม่น่าประทับใจเท่าใดนัก
ที่สำคัญยังเป็นการแถลงแบบสื่อสารทางเดียว ไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถามประเด็นข้อสงสัย
โดยเฉพาะผลงานด้านเศรษฐกิจ ที่นายกฯอภิสิทธิ์ กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้สามารถนำพาประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจมาได้
ด้านการส่งออกที่ติดลบมาตลอดเกือบทั้งปี ช่วงปลายปีได้เริ่มกลับมาเป็นบวก ปัญหาการว่างงานก็ลดลง ไม่รุนแรงเหมือนอย่างที่คาดไว้เมื่อตอนต้นปี
ที่สำคัญคือรัฐบาลสามารถนำพาประเทศก้าวข้ามพ้นยุคประชานิยมเข้าสู่ยุครัฐสวัสดิการ ด้วยนโยบายเรียนฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคนพิการ โครงการโฉนดชุมชน บ้านมั่นคง
เหล่านี้เป็นต้นทำให้บรรดานักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ พ่อค้านักธุรกิจระดับบน พร้อมใจกัน "ปล่อยเกรด" ให้คะแนนผลงานรัฐบาลสูงระดับ "B" ถึง "B+"
กลบกระแสโพลสำรวจความเห็นประชาชนคนเดินดินกินข้าวแกง
ที่ให้คะแนนผลงานรัฐบาลสอบตกกราวรูดทุกด้าน เฉลี่ยแค่ 3.8 จากคะแนนเต็ม 10 เท่านั้น
คะแนนที่สวนทางกันนี้เองคือจุดสะท้อนให้เห็นว่าผลงานรัฐบาลด้านการแก้ไขเศรษฐกิจ
ประชาชนส่วนใหญ่ยังสัมผัสไม่ได้
////
ลั กษณะคะแนนที่สวนทางกันนี้ ยังปรากฏให้เห็นในส่วนของผลงานการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้เอาจริงจังกับการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยยกตัวอย่างการแสดงสปิริตของอดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ส่วนโครงการชุมชนพอเพียง และโครงการงบไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขที่เกิดข้อครหา รัฐบาลตัดสินใจชะลอไว้ก่อนเพื่อรอตรวจสอบความโปร่งใส
นายกฯ ยังอ้างถึงองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทยที่ให้เกรด "A-" กับผลงานรัฐบาลในด้านนี้
แตกต่างกันลิบลับกับการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือป.ป.ท. ร่วมกับเอแบคโพลสำรวจพบประชาชนร้อยละ 89 เห็นว่าปัญหาการทุจริต
อยู่ในระดับค่อนข้างรุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด
เช่นเดียวกับในวงสัมมนา "หยุดวิกฤตปัญหาคอร์รัปชั่น" ของวุฒิสภา ที่ตัวแทนป.ป.ช.และสตง. ระบุสถานการณ์ทุจริตนับวันยิ่งรุนแรงและหลากหลายมากขึ้น
สำหรับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูเหมือน สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ แถลงออกมา ถึงจะไม่ตรงเสียทีเดียวแต่ก็ใกล้เคียงกับความรู้สึกของประชาชนมากที่สุด
นั่นก็คือยังไม่น่าพอใจมากนัก
แม้ตัวเลขสถิติเหตุการณ์ความรุนแรงรายวันจะลดลง แต่ก็ลดลงเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก
อีกทั้งการใช้มาตรการด้านความมั่นคงเปิดเกมรุกจับกุมกดดันแกนนำกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก
ทางหนึ่งแม้จะทำให้ตัวเลขการก่อความรุนแรงลดน้อยลง แต่ทางหนึ่งก็อาจเป็นตัวกระตุ้นให้กลุ่มโจรใต้ก่อความรุนแรงหนัก กว่าเดิม เพื่อประกาศศักยภาพว่าตนเองยังมีฤทธิ์มีเดชอยู่
จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องระมัด ระวัง
อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าเป็นห่วง มากที่สุดของรัฐบาล
คือปัญหาด้านการเมืองและความมั่นคง รวมถึงการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ
ที่ไม่ว่านายกฯอภิสิทธิ์ แถลงอย่างไร ถึงจะบอกว่ารัฐบาลชุดนี้สามารถทำให้การเมืองเดินหน้า ทำให้ระบบรัฐสภากลับมาทำงานได้ตามเดิม
แต่จากสภาพความเป็นจริงที่เห็นๆ กันอยู่ ก็เป็นตัวฟ้องอยู่ทนโท่ว่า 1 ปีที่ผ่านมาวิกฤตการเมืองที่ขยายเป็นความแตกแยกขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ได้บรรเทาเบาบางลง
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแนวโน้มว่าจะติดลบหนักมากขึ้นในปีหน้าที่กำลังจะมาถึง เนื่องจากคู่ขัดแย้งทาง การเมืองต่างไม่ยินยอมที่จะลดรา วาศอกให้แก่กัน
เงื่อนไขการเจรจาสงบศึกของอีกฝ่ายถูกอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไม่มี เยื่อใย
กลายเป็นแรงกดดันให้กลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการเปิดฉากทำสงครามแตกหักครั้งสุดท้ายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลให้ได้
ด้วยการระดมพลจัดชุมนุมใหญ่ตีขนาบไปกับการยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ในสภา ที่เริ่มโหมโรงให้เห็นเค้าลางความดุเดือดกันบ้างแล้วเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ฝ่ายถืออำนาจรัฐเตรียมงัดข้อกฎหมายเข้าเล่น งาน
นอกเหนือจากนั้นยังมีคดีความใหญ่ๆ ที่ต้องจับตาลุ้นผลกันข้ามปี
คือคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านจากการขายหุ้นชินคอร์ป ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวคนใกล้ชิด กับกรณี เงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับจากบริษัท ทีพีไอ
ซึ่งทั้ง 2 คดีล้วนแต่มีผลกระทบสำคัญต่อการเมืองไทย
เนื่องจากไม่ว่าผลตัดสินจะออกมาทางใด ย่อมมีทั้งฝ่ายที่พอใจและไม่พอใจด้วยกันทั้งสิ้น
นำมาซึ่งการเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่จากฝ่ายที่ไม่พอใจจนประเทศชาติไม่มีเวลาได้สุขสงบ
สิ่งที่ประชาชนคนไทยต้องทำไจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ คือการ เมืองไทยกำลังก้าวข้ามปี "วัวดุ"
เพื่อเข้าสู่ปี"เสือไฟ"โดยสมบูรณ์แบบ