ที่มา มติชน
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพท. และนายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส. สัดส่วน พท. ได้ร่วมกันแถลงเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ พร้อมยื่นคำร้องขอถอดถอนออกจากตำแหน่ง กรณีคนใกล้ชิดแทรกแซงคดีบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) จำกัด สำแดงราคานำเข้าบุหรี่จากต่างประเทศอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี จนเป็นเหตุให้รัฐเสียประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี 68,881 ล้านบาทว่า พท. ได้ยื่นถอดถอนนายกฯ โดยตั้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ว่าแทรกแซงองค์กรยุติธรรม จากการที่อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งไม่ฟ้องตามสำนวนสรุปของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งถือเป็นความผิดตามมาตรา 255 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญ มีประชาชนสงสัยว่าการช่วยบริษัทฝรั่ง อาจมีการไปรับเงินรับทองของต่างประเทศหรือไม่ ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในภาวะถังแตก เรื่องอะไรต้องยกประโยชน์ให้บริษัทต่างชาติ นายกฯ ชอบสร้างภาพพจน์ว่าเป็นคุณชายขาวสะอาด แต่กลับใช้ “เสี่ย ก.” คนใกล้ชิดที่ทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาล วิ่งเต้นล็อบบี้เพื่อล้มคดีของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ ซึ่งนายกฯ ต้องทราบดีอยู่แล้วว่าเสี่ยรายดังกล่าวเป็นล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังระดับประเทศ
"ถ้านายกฯ ยังไม่จัดการกับเสี่ย ก. จะนำหลักฐานอื่นมาแฉอีกว่า เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร ซึ่งตนได้ข้อมูลจากคนปชป. ที่ไม่สามารถทนพฤติกรรมได้ จึงนำข้อมูลมากบอกผม"นายยุทธพงศ์ กล่าว
นายประเกียรติกล่าวว่า พท. มีเอกสารหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์แทรกแซงกระบวนการพิจารณาของอสส. ซึ่งเป็นเอกสารที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการต่างๆ 7 หน่วย ประกอบด้วย กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต สำนักงานอัยการสูงสุด กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานผู้แทนการค้าไทย เพื่อหารือในกรณีดีเอสไอสั่งฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ ในวันที่ 2 กันยายน 2552 หลังจากมีการสั่งฟ้อง แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น นายกฯ ถึงชี้แจงกับหน่วยงานต่างๆ ว่าเรื่องที่สั่งฟ้องขอให้ทบทวน เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ เพี้ยนหรือเปล่าไม่ทราบ เพราะแม้ว่าบุหรี่ที่นำเข้าจะผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ แต่ผู้นำเข้าสำแดงเท็จหลบเลี่ยงภาษีของไทย ถือเป็นความผิดของบริษัทเอกชนที่เป็นผู้นำเข้า ไม่ใช่ความผิดของประเทศผู้ผลิต เรื่องนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใดๆ