ที่มา ข่าวสด
ถึง จะมีความขลุกขลักอยู่บ้างจนสังคมเกิดข้อวิตกกังวลว่าปฏิทินการยุบสภาเลือก ตั้งใหม่ อาจต้องเลื่อนออกไปจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเคยประกาศไว้ในตอนแรก
ไม่ว่าจะเป็นความขลุกขลักกรณีกฎหมายลูก 3 ฉบับที่อยู่ในกระบวน การของศาลรัฐธรรมนูญ
รวมถึงข้อหวั่นเกรงว่าการเมืองจะเกิดสุญญากาศ ถ้าหากยุบสภาแล้วแต่ยังไม่มีประธานวุฒิสภามาทำหน้าที่รักษาการประธานรัฐสภา
แต่ทุกอย่างก็คลี่คลายโดยเร็วเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร เป็นประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญก็ยืน ยันว่า
ถึงแม้ต้องใช้เวลาในการพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับอย่างละเอียดรอบคอบ แต่ก็จะไม่ส่งผลต่อการยุบสภาที่นายกฯ กำหนดเงื่อน ไขเวลาไว้แล้วแต่อย่างใด
กระทั่งในที่สุดนายกฯอภิสิทธิ์ จึงตัดสินใจนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภา ขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 6 พ.ค. ก่อนตนเองจะเดินทางไปประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศอินโดนีเซีย
โดยมีกำหนดเดินทางกลับประเทศ ไทยวันที่ 9 พ.ค. ซึ่งนายกฯอภิสิทธิ์ บอก ว่าจะเปิดแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการยุบสภาและการเลือกตั้งอีก ครั้ง
ดังนั้น ถึงวันยุบสภาจะคลาดเคลื่อนไปจากปฏิทินเดิมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อวันเลือกตั้ง ที่คาดว่าจะมีขึ้นไม่วันที่ 26 มิ.ย. ก็เป็นวันที่ 3 ก.ค.
ซึ่งล่าสุด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และผู้จัดการรัฐบาลแย้มออกมาบ้างแล้วว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นวันใดนั้นขึ้นอยู่กับการประกาศให้กฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับมีผลบังคับใช้
หากบวกลบเวลาที่กกต.ต้องใช้ในการ เตรียมตัวจัดการเลือกตั้งแล้ว วันที่ 26 มิ.ย. อาจไม่ทัน
สรุปว่าความเป็นได้สูงสุด คือการเลือกตั้งน่าจะมีขึ้นวันที่ 3 ก.ค.
เมื่อนับถอยหลังจากนี้ไป 55 วันก็จะเป็นวันเลือกตั้ง
ถึงนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรักษาคำพูดของตนเองไว้ได้ในการทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาภายในสัปดาห์แรกของเดือนพ.ค.
แต่ที่ตกเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วง
คือพฤติกรรมการ 'ทิ้งทวน' อนุมัติงบประ มาณโครงการในการประชุมคณะรัฐมนตรี นัดประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ข้ามคืนต่อเนื่องวันที่ 4 พ.ค.
เป็นการประชุม 'มิดไนต์มาราธอน' นาน 15 ชั่วโมง พิจารณาโครงการมากถึง 200 กว่าโครง การ อนุมัติงบประมาณกว่า 1.3 แสนล้านบาท
ทำให้ถูกครหาว่าเป็นมหกรรม 'ลาสต์ซัปเปอร์'
สวาปามมื้อใหญ่นาทีสุดท้ายก่อนพ้นจากอำนาจ จนฝ่ายค้านเสนอนำไปจดบันทึกสถิติลงกินเนสส์บุ๊ก ด้วยอัตราเฉลี่ยอนุมัติงบฯ นาทีละกว่า 100 ล้านบาท
พร้อมตั้งข้อสังเกตเป็นการ 'แบ่งเค้ก' ก้อนใหญ่ในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล
วางมัดจำซื้อใจกันล่วงหน้า หวังผลไกลไปถึงการกลับมาจับมือตั้งรัฐบาลอีกครั้งหลังเสร็จศึก เลือกตั้ง
ตอกย้ำความจริงที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลัง'หน้ามืด' จากกระแสความนิยมตกต่ำ อันเนื่องมาจากปัญหาข้าวยากหมากแพง ที่ดูเหมือนเป็นจุดอ่อนที่สุดของรัฐบาล
ทั้งยังเกิดปัญหาวุ่นวายขัดแย้งกันเองภายในพรรค เกี่ยวกับการวางตัวผู้สมัครลงเลือกตั้งในระบบเขตและบัญชีรายชื่อ
สุดท้ายเลยเข้าตาจนต้องตัดสินใจใช้ 'กระสุน' เข้าต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามที่ 'กระแส' กำลังมา แรง
โดยไม่สนใจเสียงครหา ประชาธิปัตย์อาศัย ความได้เปรียบในฐานะพี่ใหญ่ฝ่ายรัฐบาล นำเงินงบประมาณของรัฐไปหว่านหาเสียง
จากเสียงนินทาไล่หลังจึงเป็นเรื่องต้องจับตา ดูกันต่อไป
มหกรรม 'ลาสต์ซัปเปอร์' จะช่วยให้คะแนนความศรัทธาของประชาชนต่อรัฐบาลพรรคประชา ธิปัตย์ กระเตื้องขึ้นมากน้อยขนาดไหน
หรือจะโดนกระแสตีกลับดำดิ่งหนักกว่าเดิม
นักวิเคราะห์การเมืองในซีกพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่า
ศึกเลือกตั้งที่ใกล้จะมีขึ้นเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับ เพื่อไทย ในสภาพที่คู่คี่สูสี 200 เสียงบวกลบ โดยมีพรรคขนาดกลางเป็นตัวชี้ขาดว่าระหว่าง 2 พรรคใหญ่ใครจะได้จัดตั้งรัฐบาล
ในสภาพคู่คี่ก้ำกึ่งนี้เอง แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งตัวนายอภิสิทธิ์เองก็ได้แบไต๋ออกมาแล้วว่า จะยึดถือหลักพรรคใดสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้
ก็จะได้เป็นแกนนำรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยไม่สนใจเสียงท้วงติงว่าอาจเป็นการทำลายหลักการ วัฒน ธรรมประเพณีทางการเมืองที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค
ซึ่งสอดคล้องกับกรณีนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยที่เชื่อว่า ไม่ว่าผลเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีทางได้จัดตั้งรัฐบาล
อย่างไรก็ตามถึงหลักการดังกล่าวจะไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ก็ขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่ได้สะท้อนผ่านการลงคะแนนเลือกตั้ง
ทั้งนี้ด้วยอำนาจลี้ลับนอกระบบและมือที่มองไม่เห็นซึ่งแกะไม่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งยังมีอิทธิพลเหนือพรรคขนาดกลางและขนาดเล็ก
ทำให้มีความเป็นไปได้สูงมากว่า
ต่อให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ได้รับเลือกเข้ามาเป็นพรรคอันดับ 1 แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพราะไม่มีพรรคใดเข้ามาร่วมด้วย
แต่ปัญหาคือประชาชนจะยอมรับได้หรือไม่ เพราะถ้ามองในมุมกลับกันการกำหนดโฉมหน้ารัฐบาลไว้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เลือกตั้ง
ก็ไม่ต่างจากการท้าทายอำนาจประชาชน
ทั้งยังเป็นการเสริมส่งให้พรรคเพื่อไทยฉวยโอกาสนำไปเป็นประเด็นหาเสียงเรียก คะแนนสงสาร ปลุกกระแสชักนำประชาชนให้เลือกเพื่อไทยได้เสียงเกินครึ่ง เพื่อเข้าไปจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
ตัดปัญหายืมจมูกพรรคอื่นหายใจ