ที่มา มติชน
ศ. ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์
การ ยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หากไปดูประวัติของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยก็จะพบว่าเกิดขึ้นมาแล้ว 12 ครั้งแล้ว ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2481 โดยมีพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนครั้งสุดท้าย นายกรัฐมนตรีผู้ใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2549 คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกลไกสำคัญกลไก หนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภา มีขึ้นเพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถ “ควบคุม” การทำงานของสภาผู้แทนราษฎรได้ โดยเหตุผลดั้งเดิมของการยุบสภาผู้แทนราษฎรก็เพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งที่เกิด ขึ้นในการทำงานระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภาหรือระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย กันเอง
ใน ทางทฤษฎีของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภานั้น แต่เดิมการยุบสภาผู้แทนราษฎรจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสภาผู้แทนราษฎรไม่ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เช่น ทะเลาะกันเอง ขาดประชุมบ่อยจนทำให้เกิด “สภาล่ม” หรือมิเช่นนั้นก็ไม่ยอมออกกฎหมายที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้ ทำให้รัฐบาลทำงานไม่ได้ เหตุผลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเหตุแห่งการยุบ สภาผู้แทนราษฎรในอดีตที่ผ่านมาทั้งสิ้น แต่ในปัจจุบัน เหตุแห่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การยุบสภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดการยุบสภา ผู้แทนราษฎรเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง
ครั้นจะ ดำเนินการเพื่อตรวจสอบความประสงค์อันแท้จริงของประชาชนโดยประการ อื่น เพื่อให้ทุกฝ่ายหยั่งทราบแล้วยอมรับให้เป็นไปตามกลไกในระบอบประชาธิปไตยก็ทำ ได้ยาก ทางออกในระบอบประชาธิปไตยที่เคยปฏิบัติมาในนานาประเทศ และแม้แต่ในประเทศไทยคือการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองกลับไปสู่ประชาชน ด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั่วไปขึ้นใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป”
จาก ตัวอย่างทั้งสอง การยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทยจึงมิได้จำกัดเฉพาะข้อขัดแย้งระหว่างรัฐบาล กับรัฐสภาหรือข้อขัดแย้งภายในรัฐสภาเท่านั้น แต่การยุบสภาผู้แทนราษฎรอาจเกิดขึ้นได้จากเหตุผลร้อยแปดที่ไม่จำเป็นต้อง เกี่ยวข้องกับรัฐบาลและรัฐสภาเลยก็ว่าได้ครับ
แต่ถ้าหากการยุบสภาผู้ แทนราษฎรเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอื่นเช่นเพื่อชิงความ ได้เปรียบทางการเมือง ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันกับคำกล่าวที่ว่า นี่คือคืนอำนาจให้กับประชาชน เพราะในฐานะประชาชนผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเลือกฝ่ายใดเข้ามาเพราะมองไม่เห็นข้อ ขัดแย้งใด ๆ ที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกเสียดายเงินหลายพันล้านบาทที่ประเทศชาติต้องเสียไปกับ การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่ยังไม่ถึงเวลาครับ !!!
จากที่กล่าวไปทั้ง หมด เห็นได้ว่า การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นอำนาจดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่กว้างมาก มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ทั้งนี้ เนื่องมาจากประเพณีปฏิบัติทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปและการที่รัฐธรรมนูญ มิได้กำหนดเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้ว่าสามารถทำได้ในกรณีใดบ้าง
จึงมาสู่คำถามที่สำคัญคือ “ควรมีข้อจำกัดในการใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่” ครับ !!!
ใน ส่วนตัวแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าควรมีข้อจำกัดในการใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้เวลาศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ การเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ “ตายตัว” ว่านายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรในกรณีใดได้บ้าง แม้จะมี “ส่วนดี” คือมีการกำหนดกติกาไว้อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสร้างความได้ เปรียบให้กับตัวเอง
แต่ “ส่วนเสีย” ก็มีอยู่ เพราะหากเกิดข้อขัดแย้งที่หาทางออกใด ๆ ไม่ได้ เช่นข้อขัดแย้งทางการเมืองที่ประชาชนต้องการให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรใหม่แต่ “เหตุผล” ของประชาชนไม่สอดคล้องกับ “เหตุผล” ของการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ “ทางตัน” ก็จะเกิดขึ้นและหากหาทางออกจาก “ทางตัน” ดังกล่าวไม่ได้ ความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่ก็จะตามมา
แต่ผมคิดว่า ควรมีมาตรการบางอย่างสำหรับนำมาใช้ประกอบกับอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น ก่อนใช้อำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีต้องปรึกษาหารือกับประธานวุฒิสภาหรือประธานศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อความรอบคอบ หรือในกรณีที่หากมีการกำหนดเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ในรัฐธรรมนูญ ก็อาจกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยว่าต้องส่งร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทน ราษฎรให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบก่อนว่าเหตุผลในการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็น เหตุผลที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
ใน สมัย ที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 โดยปรากฏเหตุผลอยู่ในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรว่า จำเป็นต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรเพราะอาจเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงอันเนื่อง มาจากวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบใหม่ เช่นเดียวกับการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ให้เหตุผลของการยุบสภาไว้ในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้ แทนราษฎร พ.ศ. 2549 ว่า
“...ต่อมาได้เกิดการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองขึ้น ซึ่งแม้ระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมาย แต่เมื่อนานวันเข้า การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย และอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยใน บ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ครั้นใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือแม้ แต่รัฐบาลได้พยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่ว ไปโดยไม่มีการลงมติในที่ประชุมรัฐสภาแล้ว ก็ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาและความคิดเห็นพื้นฐานที่แตกต่างกันทั้งระหว่างกลุ่ม ผู้ชุมนุมเรียกร้องกับรัฐบาล และระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องกับกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยและประสงค์จะเคลื่อนไหวบ้างจนอาจเกิดการปะทะกันได้
สภาพ เช่นว่านี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยภายใต้ระบบรัฐสภา และความสงบเรียบร้อยของสังคม โดยเฉพาะในขณะนี้ ซึ่งควรจะสร้างความสามัคคีปรองดอง การดูแลรักษาสภาพของบ้านเมืองที่สงบร่มเย็นน่าอยู่อาศัยน่าลงทุน และการเผยแพร่ความวิจิตรอลังการ ตลอดจนความดีงามตามแบบฉบับของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความคิดเห็นในสังคมที่หลากหลายและยังคงแตกต่างกัน จนกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเช่นนี้
ในต่างประเทศก็ เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือฝรั่งเศส หลาย ๆ ครั้งเกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาทางการเมือง
เพราะ ฉะนั้น การยุบสภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นการกระทำที่ “ไม่มีเหตุผลเฉพาะ” กำหนดเอาไว้ที่ใดเลย เป็นเพียงประเพณีทางการเมือง ซึ่งประเพณีทางการเมืองก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในวันนี้ จึงเกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองหรือการยุบสภาผู้แทน ราษฎรเพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมืองขึ้น
การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะมี “ข้อดี” หรือไม่ผมไม่ทราบ ต้องถามนายกรัฐมนตรีว่าประสงค์ต่อผลเช่นไรจึงยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่สำหรับผมนั้น การยุบสภาผู้แทนราษฎรเกิดผลกระทบอย่างมากต่อประเทศชาติเพราะทั้งฝ่าย นิติบัญญัติและฝ่ายบริหารย่อมไม่สามารถทำงานใด ๆ ได้เช่นปกติ และนอกจากนี้แล้ว การเลือกตั้งแต่ละครั้งก็ต้องใช้งบประมาณมากถึง 4 พันล้านบาท เกิดความสิ้นเปลืองต่องบประมาณของประเทศโดยไม่จำเป็นครับ
ส่วน ผลที่เกิดขึ้นจากการยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น ในทางทฤษฎี หากการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นไปเพื่อหาทางออกให้กับข้อขัดแย้งระหว่างรัฐบาล กับสภาผู้แทนราษฎรหรือระหว่างสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละกลุ่มแต่ละพรรค แน่นอนว่าประชาชนจะเป็นผู้ชี้ว่า ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นใครถูกใครผิด เพราะหากประชาชนเห็นด้วยกับฝ่ายใดก็เลือกฝ่ายนั้นเข้ามาใหม่
ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อ “ประโยชน์” ของผู้มีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรแต่ผู้เดียว !!!
(จาก บทบรรณาธิการ www.pub-law.net )