ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
มันฯ มือเสือ
การเมืองไทยทะยานเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มตัว
พรรคการเมืองน้อยใหญ่ทยอยเปิดนโยบายหาเสียงและรายชื่อผู้สมัครที่เตรียมลงชิงชัยในสนาม
ไม่ เพียง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน แต่ยังมีอีกหลายคนที่เชื่อว่าพรรคการเมืองขนาดเล็กยังคงมีนัยสำคัญต่อการ เมืองไทยที่แบ่งเป็น 2 ขั้วชัดเจน
เพราะดูตามสภาพแล้วทั้ง 2 ขั้วเสียงจะไม่ชนะกันอย่างเด็ดขาด
ดังนั้น เสียงของพรรคขนาดกลางและเล็ก ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน
ตลอดจนพรรคกิจสังคม ประชาราช มาตุภูมิ พลังชล หรือรักษ์สันติ ยังมีความสำคัญอย่างมากต่อเสถียรภาพรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ยก ตัวอย่างกรณี นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคจะส่งผู้สมัครส.ส.ระบบเขตประมาณ 100 เขต จากทั้งหมด 375 เขต
สำหรับระบบบัญชีรายชื่อถึงจะส่งครบ 125 คน แต่ก็ตั้งความหวังไว้ที่ 5-10 อันดับแรก
นั่นเท่ากับว่าพรรคชาติไทยพัฒนาของ นายบรรหาร ศิลปอาชา จัดวางบทบาทของตนเองไว้ชัดเจนในฐานะพรรค 'ตัวแปร'
เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย ที่ นายเนวิน ชิดชอบ คาดหวังไว้สูงถึง 74 ที่นั่งในระบบเขต
ถึงจะได้ตามนั้นก็ยังถือว่าอยู่ในโซนของพรรคตัวแปรอยู่ดี เช่นเดียวกับชาติไทยพัฒนา เช่นเดียวกับชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน
กระนั้นก็ตามคำถามสำคัญต่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้
ก็คือสิทธิ์ในการเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล ควรเป็นใครระหว่างพรรคที่ได้รับเลือกอันดับ 1 หรือพรรคที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้
ซึ่งคำตอบยังไม่แน่นอนอย่างที่นายสุวัจน์ กล่าว
"ตาม ประเพณีแล้วพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1 จะได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่บางทีมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ต้องมาดูอีกที เพราะไม่มีกติกาตายตัวกำหนดไว้"
"ถ้าพรรคใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเสียงสูสีก็ตอบยาก"
ถึง นายสุวัจน์ จะไม่ได้ขยายความว่าอะไรคือ 'ปัจจัยอื่น' ที่อาจเข้ามาแทรกแซงส่งผลให้พรรคอันดับ 1 ไม่ได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลตามประเพณีปฏิบัติ
แต่ก็พอทำให้เข้าใจได้ว่าหากพรรคเพื่อไทยต้องการเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล จำเป็นจะต้องได้รับเลือกตั้งเกินกึ่งหนึ่งคือ 250 เสียงเท่านั้น
ไม่มีทางเลือกอื่น