ที่มา มติชน
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ยิ่งลักษณ์ ในบทบาทน้องสาวที่อยู่เคียงข้างพี่ชายอย่างทักษิณ มาตลอด
อดีตนายกฯทักษิณ -อดีตนายกฯสมชาย และว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ?
ยิ่งลักษณ์ พบปะมวลชนคนเสื้อแดง
ยิ่งลักษณ์ บินไปแดนไกลเพื่อรดน้ำดำหัว ทักษิณ เมื่อช่วงสงกรานต์ 54 ที่ผ่านมา
อนุสรณ์ อมรฉัตร สามีที่มิได้จดทะเบียนสมรสของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ยิ่งลักษณ์ และน้องไปป์ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน
หลังเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม ไม่เกิน 7 วัน
คนไทยทั้งประเทศน่าจะได้รู้กันว่า ใครเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 28
แต่ชั่วโมงนี้ ศึกชิงตำแหน่งผู้นำประเทศ โฟกัสไปที่ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 ของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย
แน่นอน ฟาก"ประชาธิปัตย์"จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนุ่มนักเรียนนอกผู้มากด้วยวาทศิลป์ คารมคมคาย ที่เพิ่งประกาศยุบสภาฯไปหมาดๆ ด้วยประสบการณ์การบริหารประเทศชาติอย่างทุลักทุเลท่ามกลางความขัดแย้งในรอบ 2 ปี กว่ามานี้ ในฐานะ มวยรุ่นพี่
เมื่อฝั่งนั้นมีหัวหน้าพรรคหน้าหล่อ ฟาก "เพื่อไทย" ก็มิน้อยหน้า เคาะเสียงอันหนักแน่นมาจากแดนไกล ดันสาวสวย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสุดที่เลิฟ ทักษิณ ชินวัตร ขึ้น สังเวียนต่อสู้ บรรจุให้เป็นมีคุณสมบัติเพียบพร้อม(ที่สุดแล้ว) ในการเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย ด้วยความรู้ ความสามารถทางธุรกิจ ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นคือ ผู้หญิงเก่ง และมีท่าทีประนีประนอม ปรองดองแบบผู้หญิง จุดนี้คือ ความได้เปรียบของเธอ
ถ้าอย่างนั้น มติชนออนไลน์ จึงขอนำท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักผู้หญิงเก่ง สวย ปราดเปรียว ที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กันดีกว่า
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีชื่อเล่นว่า ปู เป็นบุตรคนสุดท้อง ในจำนวน 9 คน ของนายเลิศ และนางยินดี ชินวัตร (ธิดาในเจ้าหญิงจันทร์ทิพย์ (ณเชียงใหม่) ระมิงค์วงศ์) และยังเป็นน้องสาวแท้ๆ คลานตามพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย
ยิ่งลักษณ์ หรือ น้องปู ของพี่แม้ว เกิดเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2510 ปัจจุบัน เธอมีอายุ ย่าง 44 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี จาก คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2531 และปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2533 จากนั้น ได้เข้าทำงานที่ บริษัท ชินวัตร ไดเร็กทอรี่ส์ จำกัด ต่อมา ได้รับการแต่งตั้ง เป็นกรรมการผู้อำนวยการบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เมื่อ พ.ศ. 2545
"ยิ่งลักษณ์" เล่าว่า จริงๆ เธอจบคณะรัฐศาสตร์ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) สาขารัฐประศาสนศาสตร์ บริหารรัฐกิจ บริหารบุคคล เน้นปกครอง จริงๆ ต้องไปเป็นปลัดอำเภอ ซึ่งตรงกับงานการเมือง แต่ตอนนั้นอยากไปเป็นทูตซึ่งต้องไปอยู่ต่างประเทศ และทูตก็เป็นผู้ชายหมดเลย ประกอบกับแม่อยากให้ลูกอยู่เมืองไทย เธอจึงมาเรียนรัฐประศาสนศาสตร์ ก่อนไปต่อปริญญาโทที่อเมริกา เรียน MIS
หลังจาก ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ ขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ให้แก่ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์ ยิ่งลักษณ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งในเอไอเอส โดยยังดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเซท จำกัด เพียงตำแหน่งเดียว โดยก่อนหน้านั้นเธอได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ในมือทั้งหมด เพื่อทำกำไรออกไปก่อน ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2548 และยังนั่งเก้าอี้กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิไทยคม
เห็นเป็นสาว สวย เก่ง ในมาด working woman และยังใช้คำนำหน้าชื่อว่า "นางสาว" กับนามสกุล "ชินวัตร" จนมาถึงอายุ 43 ปี แล้ว หลายคนคงคิดว่า ยิ่งลักษณ์ ยังคงครองความโสดได้มาถึงอายุปูนนี้ เนื่องจากข่าวคราว เรื่องลูกและสามี แทบจะมิได้ถูกแพร่งพรายผ่านสาธารณชนออกจากปากของเธอเอง หรือคนใกล้ชิดสักเท่าไหร่เลย
แท้จริงแล้ว " ยิ่งลักษณ์" ออกเรือนมีครอบครัวไปแล้วตั้งแต่อายุ 29 ปี กับ อนุสรณ์ อมรฉัตร ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม ลิงก์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวคนที่ 5 ในตระกูลชินวัตร และมีโซ่ทองคล้องความรักด้วยกัน 1 คน คือ น้องไปป์ - ศุภเสกข์ อมรฉัตร ในวัย 9 ขวบแล้ว
จาก เส้นทางนักธุรกิจ สู่ถนนทางการเมือง ตามคำขอของพี่แม้ว ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับยิ่งลักษณ์ ผู้จับแต่งานบริหารทางด้านธุรกิจมาตลอดเอาเสียเลย นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ น้องสาวหัวแก้วหัวแหวนของพี่แม้ว ถูกปรามาสว่า ไม่มีประสบการณ์การเมือง และการบริหารระบบราชการมาก่อน...และยังเป็นแค่หุ่นเชิดของพี่ชาย
ความเป็นจริงแล้ว บนถนนการเมืองอันร้อนระอุ เส้นทางนี้ อาจเป็นเรื่องที่ ยิ่งลักษณ์ ก็พอจะรู้และเตรียมตัว(มาบ้าง) นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 กระทั่งบ้านเมืองผ่านเรื่องราว วิกฤตความขัดแย้งต่างๆมามากมาย ในช่วง 4-5 ปี มานี้
ย้อนกลับไปดูการให้สัมภาษณ์ ผ่าน Positioning Magazine ของยิ่งลักษณ์ เมื่อเดือนเมษายน 2549 ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านการก้าวเข้าไปบริหารธุรกิจ จากมือถือ เอไอเอส ไปสู่ อสังหาริมทรัพย์ ภายใต้บ้านชื่อ เอสซี แอสเซท อีก 1 ธุรกิจของ ตระกูล "ชินวัตร" ก่อนอุบัติเหตุทางการเมืองครั้งใหญ่ จะทำให้พี่ชายของเธอ ต้องเพลี่ยงพล้ำรับสภาพต่อชะตากรรมภายใต้กระบอกปืน รถถัง และคำพิพากษาของศาล ขณะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ เมื่อเกือบ 5 ปีก่อน
ยิ่งลักษณ์ บอกในตอนนั้นเพียงแค่ว่า เธอ สนใจเรื่องการเมืองในฐานะประชาชนคนหนึ่ง อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่รู้ว่า จะกระโดดลงสู่สนามการเมืองหรือไม่ เพราะไม่ถนัดและเป็นเรื่องที่หนัก ทำธุรกิจสนุกกว่า แต่ก็ไม่กลัวเพราะคลุกคลีมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ ทั้งเคยช่วยหาเสียง มาตลอดตั้งรุ่นพ่อ (เลิศ ชินวัตร) ที่เป็น ส.ส. ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พี่สาวคนโต (เยาวลักษณ์ ชินวัตร) เป็นนายกเทศมนตรี เชียงใหม่ คุณอา (สุรพันธ์ ชินวัตร) ก็เป็น ส.ส.
แต่กระนั้นยิ่งลักษณ์ ก็เคยบอกกับพี่แม้วว่า "พี่น้องไม่อยากหรอก เห็นพี่ชายแบบนี้ มันเจ็บ" เรียกว่า ยิ่งลักษณ์มีข้อมูลและเข้าใจสภาพการณ์ทางการเมืองอย่างดี
"บาง ครั้งบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ก็ชื่นใจ เหมือนปลูกต้นไม้ ดอกไม้ เห็นผลผลิตแล้วก็ดีใจ การได้ทำงานกับคน มีทีมงานทำด้วยกันแล้วอบอุ่น ถือว่ามีความสุข แต่การเมืองยังไม่รู้ ถ้าถามส่วนตัวจริง ๆ
... คนที่จะลงการเมืองต้องมีความพร้อมทุกอย่าง พร้อมทั้งฐานะการเงิน พร้อมทั้งครอบครัวที่ให้การสนับสนุน ถ้าจะให้ดีต้องมั่นคงในหน้าที่การงาน มั่นคงในครอบครัว ถึงจะสามารถเสียสละให้ส่วนรวมได้ เพราะทุกอย่าง เวลา จะไม่ใช่ของตัวเอง จะเป็นของประชาชน เพราะฉะนั้นถ้าตัวเองไม่พร้อม...อย่าไป ถ้าไปแล้วตัวเองยังไม่มีงานทำ ไปหางานในนั้น มันก็ไม่ใช่ หรือว่าดูครอบครัวไม่ได้ ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ถ้าไป สุดท้ายลูกกลับไปเป็นปัญหาสังคม อยู่ตรงนี้ดีกว่า
แต่วันหนึ่ง ข้างหน้า ไม่รู้ ถ้าพอใจกับการทำงานแล้ว ลูกโตแล้ว เป็นเรื่องของอนาคต เพราะเท่าที่เห็น ต้องพร้อม ตอนนั้น เพราะอย่างเมื่อก่อนพ่อไป แม่ก็ต้องดูแลลูกแทน เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ เพราะพ่อเป็นคนของประชาชน ท่านนายกรัฐมนตรี เวลาที่เคยได้เจอพี่น้องวันนี้ก็หายไป
ถ้าเราคิดเราทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับสังคมได้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเราไม่ได้สร้าง value added กลับไป ก็ไม่ควรเข้าไป การเมืองก็ไม่ได้ถึงขนาดไม่ดี แต่การเมืองต้องเป็นเรื่องที่ต้องเสียสละ และทำให้ดีที่สุด" ความในใจยิ่งลักษณ์ เมื่อหลายปีก่อน
เมื่อ บ้านเมืองผ่านพ้นยุคของคมช. เข้าสู่ยุคของประชาธิปัตย์ ซึ่งพลิกขั้วมาคุมอำนาจตั้งรัฐบาลโดยได้ฐานเสียงใหญ่ในสภาฯ จากพรรคร่วมรัฐบาลที่ตั้งใหม่และย้ายข้าง ภายหลังพรรคพลังประชาชนโดนประหาร พรรคเพื่อไทยก็เกิดขึ้น จากการรวมไพร่พลที่รอดจากการถูกแขวน ชื่อของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็โผล่ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคในช่วงนั้นเป็นครั้งแรก ซึ่ง ณ ตอนนั้น เธอค่อยๆ ก้าวเข้ามาเป็นแกนนำพรรคเพื่อไทยแล้ว
ในนิตยสาร เสียงทักษิณ ( Voice of Taksin) ซึ่งวางแผงในวันที่ 26 กรกฎาคม 2552 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เปิดใจพูดถึงพี่ทักษิณ ด้วยถ้อยความว่า
"“ตั้งแต่ พี่ทักษิณตั้งใจเข้าไปรับใช้ ประเทศ ทำงานการเมืองอย่างเต็มที่ ในฐานะน้องก็ได้แต่ติดตามข่าวสารและให้กำลังใจพี่เสมอมา เพราะรู้ว่าพี่มีความตั้งใจที่จะทำงานรับใช้ประเทศ แต่ส่วนตัวนั้น ปูไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้าสู่การเมืองเลย เพราะบ้านเราเติบโตจากการค้าขาย แต่วันนี้ครอบครัวเราก็ประสบปัญหาไม่ได้รับความเป็นธรรม เราเป็นน้องก็อดที่จะรักและห่วงใยพี่ไม่ได้ แต่เราก็ไม่ย่อท้อ เพราะรู้ว่า ความตั้งใจของท่านที่จะทำงานรับใช้ประเทศนั้น สักวันหนึ่งต้องมีคนเห็นและเข้าใจเรา แม้ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม "
จากนั้น ชื่อของ ยิ่งลักษณ์ ก็ปรากฎขึ้นอยู่เนือง จน ฮอต ฮิต มาแรง แซงทั้งหัวหงอก หัวดำ ขุนพลเพื่อไทย มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 3-4 เดือนมานี้ กระทั่ง เมื่อมีการประกาศยุบสภาฯ อย่างเป็นทางการเมื่อ 9 พ.ค. 54 ชื่อของยิ่งลักษณ์ ก็ชัดเจน แจ่มแจ้ง ว่า เป็นคนที่ ทักษิณ ไว้วางใจ 100 % ให้เป็นเบอร์หนึ่งนำทัพเพื่อไทย ปูทางก้าวสู่ เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ที่หวังจะให้เป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ด้วยเชื่อในฐานเสียงจากมวลชนทั่วประเทศว่า เพื่อไทยต้องมาแรงเป็นอันดับ 1 ในการจัดตั้งรัฐบาล โดยใช้ความเป็นสายตรง สยบทั้งแรงกระเพื่อมภายในพรรคเพื่อไทยเอง และศึกภายนอกจากบรรดาพรรคคู่แข่งที่แย่งชิงหวังจะตั้งรัฐบาล
สุดท้าย เลือด ย่อมข้นกว่าน้ำ อยู่แล้ว
เห็น ได้ว่า พักหลังๆ พี่แม้ว ขยันทวิตข้อความเชียร์น้องสาวที่รักซะเหลือเกินผ่านทางทวิตเตอร์ ที่การันตีในความสามารถของน้องสาว ที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาจาก "เซลส์แมน" ขายโฆษณาเยลโล่เพจเจส (สมุดหน้าเหลือง) จนถึงผู้บริหารระดับบริหารระดับสูงของเอไอเอส และเอสซี แอสเซส
แต่ในกระแสอีกหลายๆ ด้าน ก็มองว่า ยังไงซะ ยิ่งลักษณ์ ยังไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมอะไร ถ้าหากจะมาเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่ง ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน ราชบัณฑิต ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ก็ให้มุมในการวิเคราะห์ คุณสมบัติของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้อย่างน่าสนใจว่า
"ยัง อ่อนประสบการณ์ ยังติดเรื่องอาวุโสอะไรต่างๆ มันไม่ง่าย แค่บริหารพรรคก็ลำบากแล้ว แต่ถ้ามีคนหนุนหลังอยู่ก็อาจจะทำได้ ก็บริหารงานในลักษณะของตัวแทน"
ขณะที่ ผลสำรวจภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของประชาชนผ่านทางเอแบคโพลล์ ระหว่างวันที่ 23-30 เม.ย.54 ที่ผ่านมา ก็พบว่า อภิสิทธิ์ ได้รับเสียงโหวตจากประชาชนสูงกว่า ยิ่งลักษณ์ เกือบทุกด้านของภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำ ยกเว้นความสำเร็จทางธุรกิจและมีฐานะร่ำรวย
ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของยิ่งลักษณ์ที่ยังไม่ก้าวสู่การเมืองเต็มตัว กับผลสำรวจความเห็นของประชาชนด้วยการสุ่มสำรวจบางส่วน
สถานะตอนนี้ของ ยิ่งลักษณ์ เธอจึงจำต้องปล่อยมือจากธุรกิจ ที่ถนัดและชื่นชอบ หันมาเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ตามบัญชาการของพี่ชาย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 54 แหล่งข่าวจากบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ยังเข้ามาบริหารงานตามปกติ และไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ท่ามกลางการถือหุ้นอยู่ในบริษัท เอสซีฯกว่า 1 ล้านหุ้น ซึ่งเมื่อเทียบสัดส่วนแล้วมีไม่ถึง 1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หุ้นดังกล่าวได้มาจากการแตกพาร์จาก 10 บาท มาเป็น 5 บาท ส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน เอสซีฯ คือ น.ส.แพทองธาร น.ส.พินทองทา ชินวัตร และ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร
ขณะที่รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า จากการตรวจสอบบริคณห์สนธิ พบว่าในส่วนของบริษัท เอสซีฯ ไม่พบข้อมูลผู้ถือหุ้น แต่บริษัทดังกล่าวมีการเกี่ยวโยงกับบริษัท โอเอไอ แมนเนจเม้นจ์ จำกัด ซึ่งไม่พบว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือหุ้นแต่อย่างใด โดยผู้ที่ถือหุ้นในโอเอไอฯนั้นประกอบด้วย นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นางกาญจนา หงษ์เหิน นางเพ็ญโสม ดามาพงศ์ นายพรชัย ศรีประเสริฐ นายชานนท์ สุวสิน โดยกรรมการผู้มีอำนาจลงนามมีจำนวน 2 คน คือ นายชานนท์ และนางกาญจนภา
นี่จึงเป็นบทพิสูจน์อันท้าทายของผู้หญิงที่ชื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กับงานหินก้อนมหึมาจากพี่ชายสุดที่รักขนมาแบกไว้บนหลัง เพื่อวัด"กระแสทักษิณ"ว่ายังทรงพลังมากอำนาจ ในการเรียกมวลชนอยู่อีกหรือไม่
...ตอนหน้า พบกับ 10 เรื่องที่คนไม่(ค่อย)รู้เกี่ยวกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร !!!