ที่มา vattavan
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เช้า วันนี้… ผมจิบกาแฟขม กับคุ้กกี้แอนด์ครีมเป็นขนมหวาน ระหว่างนั่งดูการ์ตูน ทางเคเบิล ที.วี. ที่เขานำหนังการ์ตูน ซึ่งตัวเอกเป็นหนูมาฉาย ซึ่งผู้สร้างเขาทำได้น่ารักดี ทำให้ผมอดนึกถึงเจ้า Speedy Gonzales ที่มันมีศัตรูเป็นเจ้าแมวตัวโต เจ้าเล่ห์ เป็นศัตรูตัวฉกาจชื่อ Sylvester Pussycat
นอกจากสปีดี้ กอนซาเลสแล้ว ผมก็มีหนูที่ชอบอีกหลายตัว เช่นเจ้า Jerry ซึ่งเป็นคู่รักคู่แค้นกับเจ้า Tom แมวใจร้ายพอสังเขปแต่ “โง่จัด” ที่เพียรพยายามจะจับมันเป็นอาหาร ในการ์ตูนเรื่อง Tom & Jerry ในเมื่อ เจ้าทอมนี้เป็นนักล่าที่เหี้ยมโหดอย่างแมวเจ้าคิดเจ้าแค้น ก็ต้องมีหนูที่ปราดเปรียวเฉลียวฉลาดเป็นคู่ปรับจะได้ต่อสู่กันอย่างสมาน้ำสม เนื้อ
เยาวชนในโลกของเรา ก็จะลืมไม่ได้กับหนูอีกตัวหนึ่ง คือ Mickey Mouse ที่ แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู ของคุณตาวอล์ท ดีสนีย์ แต่ความที่หนูอย่างคุณ มิกกี้ เมาส์ นั้น ตัวของเธอเล็ก เวลาพูดอะไรที่จะให้ความหมายว่า
“จิ๊บจ๊อย”
บางครั้งใช้ฝรั่งเขาก็ใช้คำ Mickey Mouse เช่น นักเรียนประชาบาลมีโปรเจคปลูกผักสวนครัวไว้เป็นอาหารกลางวัน ก็ใช้คำว่า a Mickey Mouse project ได้คือเป็น “โปรเจ็กจิ๊บจ๊อย”
เคยได้ยินมาว่า “ความริษยา” นั้นเหมือนหนู คืออยู่ในบ้านเราแล้วก็กัดกินข้าวของๆเราเอง ฟังดูแล้วก็คมคายดีไม่น้อยทีเดียว เพราะ “ความริษยานั้น ทำลายตัวเราเอง” ทำให้ผมนึกถึงคำแช่งด่าของชาวยิว หรือ Jewish Curse ที่แสนจะคมคาย ที่ว่า
You should be like a house
and your wife like a mouse.
ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ขอให้สูเจ้าเป็นเสมือนบ้าน และเมียของเจ้าเหมือนหนู" หมายความว่า
แช่งให้เมียเหมือนหนู ที่กัดกินข้าวของในบ้านเสียหาย ทำให้บ้านสกปรกและทรุดโทรมลง หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการแช่ง
“ขอให้เอ็ง...พังเพราะเมีย !" นั่นเอง
เรื่องของหนูนั้น มีโทษมากมาย เพราะเป็นพาหะนำโรค ทำความเสียหายให้กับผลิตผลทางการเกษตรของมนุษย์ อยู่ในบ้านก็เป็นปัญหาให้กับบ้านเรือน เป็นสื่อของความสกปรก ยากต่อการปราบปราม แต่เจ้าหนูบางพันธ์ก็เป็นประโยชน์ เพราะมนุษย์นำมันมาเป็นสัตว์ทดลอง ให้การศึกษากับมนุษย์ เป็นด่านหน้าในการทดลองยาที่มีคุณภาพ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ
เมื่อ ยังเป็นเด็ก ผมเป็นคนเดียวในพี่น้องที่ชอบยิงนก ตกปลา ล่าสัตว์ เวลาเดินไปท้องนาไล่ยิงนกยิงหนูกับเพื่อนคู่หูอีกคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเป็นนายทหารเรือ เขาเรียนเก่งจนได้ทุนเรียนดีจากเตรียมทหาร ไปจบโรงเรียนนายเรือเยอรมัน
สมัยนั้นแถวบางกะปิ (สุขุมวิท ปัจจุบัน) หัวหมาก พระโขนง ยังเป็นทุ่งนากว้างขวาง หนูนาก็มีบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าไปทางท้องทุ่งแถบอยุธยาจะชุกชุมมาก
ผมกับเพื่อนนั่งเรือไปเที่ยวอยุธยา ไปล่าหนูนากัน และเคยหัดดักหนูด้วยเครื่องมือของชาวบ้านที่ทำสวน เขาเอาไว้ดักหนูพุกที่เขาเรียกว่า
“กะตั้ม”
เครื่องมือชื่อแปลก ที่ปัจจุบันเราอาจไม่ได้พบเห็นกันแล้ว ทำด้วยไม้สี่แผ่นประกบกัน ลักษณะคล้ายกล่องใส่เหล้าฝรั่ง หรือกล่องใส่ไวน์ขวดยาว ด้านท้ายปิดด้วยลูกกรงหนูมุดออกไม่ได้ เปิดออกหนึ่งด้านด้วยลิ้นที่ทำหน้าที่คล้ายประตูกล ปิดเปิดผูกโยงกับกระเดื่องปักอยู่บนเสา แล้วนำมาผูกกับไม้ไผ่เหลากลมเรียกว่า “ไม้หมิน” ซึ่งใช้เป็นที่เสียบเหยื่อ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นปูนาซึ่งมีกลิ่นเย้ายวน
พอหนูเข้าไปกินเหยื่อใน “กะตั้ม” มันจะดึงเชือกหลุดออก ประตุกลจะปิดลงหนูก็จะติดแหงกอยู่ในกะตั้มนั่นเอง และกลายเป็นอาหารของชาวบ้านไป ซึ่งก็ไม่พ้นผัดเผ็ด จะผัดแบบใส่กะทิหรือไม่ก็ได้กินกันอร่อยทั้งนั้น
ปูนาที่ใช้เป็นเหยื่อนั้นก็หาง่าย เพียงแต่เราเดินไปตามคันนาเวลาเช้าและเย็นซึ่งเป็นเวลาที่มันออกมาเดิน พาเหรดหาอาหารกิน ก็จับได้เยอะแยะแล้ว แต่กลางวันแดดจ้าหน่อยก็หลบมุดเข้าไปอยู่ในรูของมัน
หนูนานั้นได้ทำลายพืชผลของชาวนาอยุธยา ลงเป็นอันมาก จนนาแถบบางปะอินทร์ทำกันแทบไม่ได้ ราษฎรเดือดร้อน จนมีมูลนิธิต่างๆ เช่นศิลปาชีพ เข้าไปช่วยเหลือในด้านการประกอบอาชีพด้านงานฝีมือ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มชื่อเสียงไป
พื้นที่ใกล้ๆกัน ก็ยังคงมีหนูชุกชุม แต่เป็นบ้านพักที่อยู่อาศัยของผู้คน เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ยินคุณสุวิทย์ สุทธิประภา แห่ง อ.ส.ม.ท. บ่นกับคุณภรภัทร นิลรัตน์ ในรายการข่าวช่วงเย็น ถึงเรื่องหนูที่รุกรานในบ้านของคุณสุวิทย์ฯ จนเหลือกำลังที่จะต่อกรด้วย
บ้านของโฆษกอารมณ์ดี คุณสุวิทย์ สุทธิประภา นั้นอยู่ในหมู่บ้านเมืองเอก รังสิต ปทุมธานี เดิมก็เป็นทุ่งนาแท้ๆ ต่อมามีคนซื้อที่ไปทำสนามกอล์ฟ แล้วเขาแบ่งที่ดินขายและทำบ้านจัดสรร พื้นที่บริเวณผมรู้จักดี เพราะเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง ซื้อบ้านตรงนั้นด้วย และก็บ่นเรื่องหนูเหมือนคุณสุวิทย์ฯ ซึ่งพยายามปราบหนูแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หนูจึงนับเป็น “ศัตรูตัวเอก” ในบ้านทีเดียว!
วันนี้ขอนำเรื่องราว ระหว่างหนูที่เป็นศัตรูในบ้าน ซึ่งเกิดกับตัวผมเอง เป็นเรื่องอารมณ์ของมนุษย์ ที่มีทั้งภาคมืดที่โกรธเกรี้ยว มุ่งร้าย และภาคสว่างที่อ่อนโยน สำนึกผิด มาเขียนเป็นเรื่องสั้น ให้ชื่อว่า
"ไอ้...คู่แค้น!" และให้ชื่อภาคภาษาอังกฤษว่า The Enemy Within เพราะมันเป็นกิเลสความโลภ โกรธ หลง ความเห็นแก่ตัว ที่ปะปนกับคุณงามความดีในตัวอยู่ในตัวมนุษย์ที่สับสนนั่นเอง
ตั้งใจจะเอาไว้รวมเล่มในหนังสือเรื่องสั้นของผม ที่จะมีทั้งภาษาไทยและอังกฤษ แต่ผมจะให้ท่านผู้อ่าน กาแฟขม…ขนมหวาน ได้ชิมก่อนรวมเล่ม แล้วลองช่วยวิจารณ์ดูครับ
เรื่องสั้น
“ไอ้...คู่แค้น !”
(ชื่อภาคภาษาอังกฤษ The Enemy Within)
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เรา เผชิญหน้ากันโดยบังเอิญ ที่ห้องทำงานในบ้านของผมเอง มันจ้องหน้าผมอย่างงงงวย แต่ผมกลับเป็นฝ่ายตกตะลึง ในการปรากฏกายของเจ้าสัตว์หน้าขนตัวนี้
ขนาดของมันยังเล็ก คงเพิ่งพ้นระยะเวลากินนมแม่มาไม่นาน ตัวยาวประมาณสองนิ้วเศษ ขนยังเป็นสีขาวปนเทาจาง ๆ มันทำจมูกสีชมพูอ่อนขมุบขมิบ แสดงความประหลาดใจที่ผมโผล่เข้ามา มันทำเหมือนว่า เป็นจ้าของครอบครองห้องนี้มาก่อน และผมเป็นแค่ผู้มาเยือนเท่านั้น
ผม สะบัดปากกาลูกลื่น ที่ถืออยู่ออกจากมือ พุ่งตรงเข้าหามันราวกับลูกธนูอย่างมุ่งร้าย สิ่งที่ใช้เขียนหนังสือถากหลังมันไปอย่างหวุดหวิด เลยเข้าปะทะขาเก้าอี้นั่งเกิดเสียงดัง
เจ้าสัตว์หน้าขนทำตัวหดด้วยความตื่นตกใจ แล้วพุ่งปรู๊ดหลบหายเข้าหลังตู้เอกสารใบใหญ่ ซึ่งเรียงกันเกะกะในห้องไปอย่างรวดเร็ว
ผม รู้สึกเหมือนจุกแน่นในอก เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคตัวร้าย บังอาจเข้ามาในนิวาสถานของตัวเอง แสดงว่าบ้านผมคงไม่สะอาดพอ ไม่ก็ต้องมีสิ่งสกปรกปะปนเข้ามาในบ้านหลังนี้ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ผมจะเคยพบเห็น ญาติโกโหติกาของพวกมัน โผล่จากท่อระบายน้ำ ซึ่งเชื่อมต่อกับท่อสาธารณะใกล้บ้าน เพื่อออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง แต่ก็นาน ๆครั้ง
มาคราวนี้มันอุกอาจ ทะลึ่งเข้ามาในเขตหวงห้าม ที่แสนจะเป็นส่วนตัวของผมจริง ๆ
ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาในจิตใจ ผมให้สัญญากับตัวเองว่า จะต้องกำจัดมันออกไปจากชีวิตให้ได้
จาก นั้น ผมก็เริ่มสำรวจภายในห้องอย่างระมัดระวัง มันคงแอบอยู่หลังตู้เอกสารสามใบ ซึ่งมีหนังสืออัดแน่น ยากที่จะเคลื่อนย้าย และยังมีชั้นใส่หนังสือเป็นแถว ไม่นับรวมกับลังหวายซึ่งล้วนแต่บรรจุหนังสือทั้งนั้น ผมมองอย่างท้อแท้
แค่คิดเท่านั้นผมรู้สึกยอกหลังขึ้นมาทันที เพราะมองเห็นภาพตัวเอง ต้องก้มๆเงยๆ ขนหนังสือออกจากห้องทำงาน ไปเก็บไว้ข้างนอก เพื่อหาตัวกระจ้อยร่อยของมัน และกำจัดเสีย
มันช่างเป็นงานหนักเกินไป สำหรับคนมีอายุอย่างผม ถึงจะมีคนช่วยก็ตาม
ผม จึงตัดสินใจ ที่จะไม่เคลื่อนย้ายอะไรทั้งนั้น แต่ตั้งใจจะเฝ้าคอยจับมันให้อยู่หมัด โดยทะนงตัวว่า เมื่อเป็นเด็กวัยรุ่นผมก็ทั้งยิง และสังหารบรรพบุรุษกับญาติพี่น้องของมัน ตายไปมากต่อมาก จึงไม่ยากเย็นนัก ถ้าผมจะจัดการกับมันอีกสักตัว
แต่มันไม่งายอย่างที่คิด เพราะ...
เมื่อเห็นมันผลุบ ๆ โผล่ ๆ มาให้เห็นตัวหลายครั้ง ผมกลับหาอะไรขว้างมันไม่เคยทันเลย!
เพียง สองสามอาทิตย์เท่านั้น ผมเห็นมันเติบโตขึ้น ขนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้ม มันคงกำลังจะเป็นหนุ่มแข็งแรง ในขณะที่ผมอ่อนแอลงเพราะขาเจ็บ การกำจัดเจ้าวายร้ายตัวนี้ ดูทำท่าจะเป็นงานยากเสียแล้ว
บางวันผมเข้าไปในห้องทำงาน เห็นร่องรอยกัดกล้วยน้ำว้าซึ่งเป็นผลไม้ประจำห้อง หลายครั้งสังเกตเห็นขนมหวานที่ทานเหลือแหว่งเป็นรอยทู่เข้าไปอย่างชัดเจน ซึ่งต้องเป็นฝีมือและฝีฟันของมันแน่ๆ
มี ครั้งหนึ่งมันกัดก้อนเอแคลร์ ที่วางไว้บนโต๊ะทำงานแหว่งไปเกือบเสี้ยว จนผมต้องนั่งจ้องขนม ที่เสียหายจนกินไม่ได้ ด้วยความเสียดาย ปนกับความโกรธที่พุ่งขึ้นมา
ผมกำหมัดแน่นคิดว่า หากมันเดินนวยนาดผ่านหน้ามาเวลาในนั้น จะทุบมันแบนแต๊ดแต๋ อุจจาระแตกตายคาที่ และโดยที่ไม่รู้ตัว ผมเงื้อมือทุบเปรี้ยงลงไป แต่สิ่งที่เละเทะอยู่ใต้กำปั้นของผมกลับไม่ใช่เจ้าหนู กลายเป็นเอแคลร์ชิ้นที่มันแอบหม่ำไปก่อนนั่นเอง ทำให้ผมต้องเช็ดโต๊ะทำงานด้วยความเจ็บใจ
แต่...วันที่ผม "เอาคืน" ก็มาถึงจนได้!
วันนั้น ผมตื่นแต่เช้าชงกาแฟ แล้วเดินเข้าห้องทำงานเหมือนเคย พอเปิดไฟสว่างพรึ่บผมเห็นมันยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง มันชำเลืองมองผม ทำปากและจมูกขยุบขยิบคล้ายกับทักผมว่า
"ไงเอ็ง!"
อย่างฉับพลันไม่ทันคิด ผมสาดน้ำกาแฟร้อนที่จัดเพราะเพิ่งชงใหม่ๆ พรวดใส่มัน ตามติดด้วยขว้างถ้วยกาแฟ และเตะหนังสือที่วางบนพื้นสองสามเล่มเข้าใส่โดยอัตโนมัติ
ผม เห็นร่างมันผงะ กระดกตีลังกาลอยกลับ พอทรงตัวได้ก็วิ่งเซถลาเข้าไปตรงซอกตู้ จะโดนอะไรเข้าไปบ้างก็ไม่รู้ แต่เจ้าตัวร้ายอาจงง เพราะไม่ได้หลบหายเข้าไปในซอกตู้หมดทั้งตัว ท่อนหางยังโผล่พ้นตู้ออกมา
ผมเอื้อมมือหยิบไม้บันทัดโลหะ แบบที่เด็กช่างกลสมัยก่อนใช้ฟันหน้ากัน ซึ่งใช้มานานหลายสิบปี ก้มตัวลงฟาดผัวะเข้าไป ตรงท่อนหาง ของไอ้ตัวน่าเกลียดอย่างรวดเร็ว
คง เป็นจังหวะเดียว กับที่มันคงหดหาง แต่ถึงกระนั้นโลหะขอบไม้บรรทัด ยังตัดหางมันขาดออกมาสักครึ่ง ดิ้นแด่ว ๆ อยู่บนพื้น มีโลหิตมองดูคล้ายน้ำยางสีดำ ไหลจุกตรงท่อนที่โดนตัด
ผมรู้สึกตกใจ ที่ทำร้ายมันเข้าไปแล้ว มโนธรรมซึ่งเป็นฝ่ายดีบอกว่าตัวเอง ได้ทำสิ่งที่เกินเลยไปแล้ว แต่ฝ่ายที่เป็นสีดำชั่วร้าย ร้องบอกกับผมว่า
นี่สาสมแล้ว กับที่มันเป็นฝ่าย “บุกรุก” ผมก่อน!
หลัง จากสงครามย่อยระหว่างเราจบลง มันหายไปหลายวัน แต่แล้ววันหนึ่งผมเปิดไฟในห้องทำงาน ก็เห็นตัวมันยืนอยู่หน้าซอกตู้ และผมก็เห็นส่วนหลังของมันไม่มีขน หางของมันเรี่ยกับพื้น มีรอยขาดปรากฏให้เห็นชัดเจน พอมันเงยหน้ามองผมช้า ๆ
คุณพระช่วย!
ตาข้างซ้ายของมันปกติจ้องผมเขม็ง แต่ขวาของมันมีสีขาวขุ่นข้น เหมือนคนตาถั่ว ผมรู้ได้ทันทีว่าตาข้างนั้นของมัน บอดสนิทแล้ว เพราะฤทธิ์ความร้อนของกาแฟ ส่วนพื้นที่ส่วนหลังของมันคงถูกความร้อนผสมคาเฟอีน ทำลายลงหนังคงพองขึ้น จนเป็นเหตุให้ขนจึงหลุดร่วงไปนั่นเอง
ตอน นั้นเองที่ผมรู้สึกตกตะลึง ใจหายวาบ ความรู้สึกผิดฉายแวบขึ้นมาในใจ ส่วนเจ้าคู่กรรมมองผมนิ่งอยู่อึดใจใหญ่ คล้ายกำลังคิดจะบอกอะไร แต่มันเปลี่ยนใจค่อย ๆ หันตัวกลับ ทำเหมือนกับไม่แยแส ที่เห็นคนใจร้ายที่ยืนเผชิญหน้ากับมันอยู่ ส่วนผมเองนั้น ถึงกับจังงังไปพักหนึ่งทีเดียว
บัดนั้นเอง ที่ผมคิดว่า ต้องเอามันออกไปจากบ้านให้ได้ ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม แต่ก็คิดว่าจะไม่เอามันให้ถึงตาย เพราะทำกันมันไว้มากเกินพอแล้ว ขืนทำมากกว่านี้
บาปกรรมคงหนักแน่
พอตอนสายผมขับรถออกจากบ้าน ตรงไปที่ห้างสรรพสินค้า และก็ได้กับเครื่องมือจับหนู ที่เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับผม เขาทำเป็นจานวงกลมประกบกันสองอัน พอแกะออกก็มีกาวเหนียวหนึบสีดำ อยู่ทั้งสองด้าน แต่ก่อนผมเห็นเขาขายแต่กาวเพียงอย่างเดียว มาล่อ เดี๋ยวนี้กาวที่ประกบมากับจาน ส่งกลิ่นล่อหนูเองไม่ต้องใช้เหยื่อ
กระนั้นผมยังไม่ไว้ใจ เฉือนเนยแข็งวางกลางจาน เพื่อประกันความพลั้งพลาด เผื่อเจ้ากาวไม่ส่งกลิ่นดึงดูดมันได้
ผมวางแผ่นดักมันไว้ในห้องทำงานเท่านั้น แล้วเข้านอนด้วยใจระทึก แอบหวังว่าผลที่จะติดตามคงจะดีตามคาดที่อุตส่าห์ขับรถไปซื้อมา
พอ ถึงวันรุ่งขึ้น ทันทีที่ผมเปิดไฟในห้องทำงาน ก็รู้สึกดีใจอย่างลิงโลด ที่เห็นมันยืนตัวแข็ง เท้าคู่หน้าติดบนกาวแน่น ผมเต้นระบำไปรอบ ๆ ตัวมันปากก็ร้องตะโกนด้วยความสะใจ
“เสร็จจนได้นะเอ็ง!”
พร้อมกับหัวเราะลั่นด้วยความยินดี เหมือนเด็กได้ของเล่นที่ถูกใจ
มันเงยหน้าเอาตาข้างหนึ่ง มองผมอย่างน้อยใจ คล้ายกับจะบอกว่า
“เล่นใช้ตัวช่วยอย่างนี้ ไม่แฟร์นี่หว่า!”
ดูมันซิ ยังทะลึ่งจะเถียงอีกแน่ะ!!
ผมเอาถุงพลาสติกใบใหญ่มา ใส่แผ่นดักซึ่งมีมันติดอยู่ลงในถุงอย่างช้า ๆ ปากก็พูดเยาะเย้ยถากถางมัน ด้วยความคะนองในอารมณ์…
…มันจ้องมองดูผม ด้วยตาทั้งข้างดีและบอดตลอดเวลา จนผมรู้สึกว่า มันช่างเต็มไปด้วยการขอร้องวิงวอน แต่…
ผมจะใจอ่อน กับศัตรูตัวร้ายไม่ได้เด็ดขาด!
รีบผูกปากถุงอย่างรวดเร็ว แล้วเดินไปหน้าบ้านเปิดฝาถังขยะออก
ก่อนจะทิ้งมันลงไปในถัง ผมยังร้องเย้ยหยันมันอีกว่า
“เอ็งไปถึงเรสตัวรองค์กองขยะ ได้กินอะไรอร่อยๆ ก็โทรมาบอกมั่ง”
วัน นั้น ผมออกจากบ้านสายเกือบสิบเอ็ดโมง ก่อนจะขับรถออก ก็เดินไปเปิดฝาถัง ยังเห็นถุงที่ใส่มันคงค้างอยู่ในถัง ผมนึกแปลกใจที่คนเก็บขยะไม่มา แต่ได้ยินเสียงมันร้องจี๊ด ๆ จ๊าด คล้าย ๆ กับจะบอกผมว่า
“ปล่อยผมหน่อย…ร้อน… ร้อนจังเลย!”
เอ ถ้าจะจริงของมัน เพราะแสดงอาทิตย์เริ่มกล้าแล้ว แต่ผมก็ใจแข็งไม่ยอมปล่อย ร้องบอกมันว่า
“ทนเอาหน่อยนะเอ็ง อยากทะลึ่งดีนักนี่!”
ผมขับรถออกไปอย่างไม่แยแส และลืมนึกถึงมันไปเลย
คืนนั้นผมนอนที่บ้านน้องสาวเพราะต้องค้นคว้าข้อมูลบางเรื่อง เลยนอนดีกหน่อย แต่ผมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตอนเกือบใกล้รุ่ง หูผมเหมือนมีเสียงแว่วจี๊ด ๆ จ๊าด ๆ แล้วมีเสียง
“ปล่อยผมหน่อย…ร้อน…ร้อนจังเลยๆ!”
ร้องซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนผมทนไม่ได้ความรู้สึกผิดโผล่ขึ้นมาเต็มหัวใจ
ต้องรีบแต่งตัวขับรถออก หมายจะไปให้ถึงบ้านโดยเร็ว เพื่อปลดปล่อยมันเป็นอิสระ ตั้งใจจะเอาศัตรูตัวนี้ไปทิ้งแถวบางแสน เพื่อเป็นการถ่ายโทษตัวเองที่รังแกสัตว์มากเกินเหตุ
แต่อนิจจา…
เมื่อไปถึงบ้าน ผมรู้สึกใจหายเมื่อพบถังขยะว่างเปล่า!
เห็นคุณลุงข้างบ้านกำลังออกมากายบริหาร ผมจึงถามว่ารถขยะมาเก็บไปแล้วหรือ? ได้รับคำตอบว่า
เพิ่งออกไป ไม่ถึงสิบห้านาทีนี้เอง!
ผมโจนขึ้นรถ ขับพรวดออกจากบ้าน ไล่ตามหารถขยะตามเส้นทางที่ผมรู้อยู่ จะขอเขาเปิดท้าย และเอาเจ้าคู่ปรับผมออกมา แต่ขับวนหาอยู่เป็นชั่วโมง
แต่ก็ไม่พบ!!
ผมจึงขับรถกลับบ้านด้วยความท้อแท้ ห่อเหี่ยวและรู้สึกสำนึกผิด
จนถึงวันนี้ หากคิดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไร ผมไม่ได้มีความสบายใจเลย เพราะเสียงร้อง
“ปล่อยผมหน่อย…ร้อน…ร้อนจังเลยๆๆ !”
เป็นประโยคที่เหมือนกับดังก้องอยู่ทั้งในหู และในใจ ของผมตลอดเวลา
ไม่ รู้ว่ามันมีชีวิตอยู่ไหม ? หรือถูกอัดแบนตายแล้วใต้กองขยะอันใหญ่โต หรือว่ามันจะรอดชีวิต ได้กินอาหารในกองขยะอย่างเพลิดเพลินและมีความสุข แต่ผมถวิลหามันด้วยความกังวลถึงมัน และกรรมหนักที่ได้ทำลงไปแล้ว
จึงต้องขอกรายเรียน กับท่านผู้อ่านที่เคารพว่า
หากท่านบังเอิญเห็นหนูที่หลังไม่มีขน เพราะถูกน้ำกาแฟร้อนลวก…
...หางกุดไปหน่อย…
…ตาข้างขวาขุ่นขาวบอดสนิท
…เวลามองหน้าคน มันชอบทำจมูกและปากขยุบขยิบ คล้ายจะพูดด้วย
ตัวนั้น...นั่นแหละครับ “ไอ้คู่แค้น” ของผม!
เมื่อท่านพบแล้ว กรุณาบอกมันด้วยว่า มีคนเขาฝากมาขอโทษที่โหดร้าย…และขอให้มัน
“ยกโทษ...ให้ผมด้วย!!”
…………………………
(คอลัมน์ กาแฟขม...ขนมหวาน ตอน “ไอ้…คู่แค้น!” ออนไลน์วันพฤหัสบดี ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554)