นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในภาวะที่ราคาข้าวในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้นเช่นในปัจจุบันจึงอยากขอให้ชาวนาเปิดวิธีการเจรจาเพื่อขายข้าวให้กับพ่อค้าคนกลางและโรงสีใหม่เพื่อไม่ให้ถูกกดราคาเหมือนในอดีต เพราะตอนนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ชาวนาและประชาชนทั่วประเทศได้มีโอกาสรู้ข้อมูลของราคาข้าวส่งออกว่าในแต่ละวันราคาข้าวส่งออกมีราคาขึ้น-ลงเท่าใด ดังนั้น จะยังขายข้าวเปลือกในราคาตันละ 6,000-6,500 บาท จนทำให้ราคาข้าวตกแบบอดีตไม่ได้แล้ว
“ผมเข้าใจดีว่าชาวนาไม่มียุ้งฉางสำหรับเก็บข้าว แต่จะต้องเจรจากับโรงสีและพ่อค้าข้าวใหม่ว่าต่อไปจะให้ราคาเท่าใดเพราะราคาส่งออกข้าวขาวขณะนี้สูงตันละ 22,500 บาท และข้าวหอมมะลิสูงขึ้นไปตันละ 30,000-30,100 บาทแล้ว และจากนี้ต่อไปกระทรวงพาณิชย์ก็จะออกมาแจ้งราคาให้ ชาวนารู้ตลอด จากที่ผ่านมาจะปกปิดข้อมูลนี้และรู้เฉพาะพ่อค้าข้าวและผู้ส่งออกข้าว สิ่งที่ผมทำเป็นการทำบุญให้กับชาวนาที่มีอยู่นับ 10 ล้านคน ที่ในอดีตไม่เคยได้รู้ราคาข้าวส่งออกกับเขาเลย”
นายมิ่งขวัญกล่าวถึงแนวคิดที่จะเป็นผู้กำหนดราคาข้าวในตลาดโลกเหมือนกับที่โอเปกเป็นผู้กำหนดราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าจะได้นำแนวคิดดังกล่าวเสนอกับ รมว.พาณิชย์อินเดียที่จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยในวันที่ 27 เม.ย.นี้ หากอินเดียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก รองจากไทยเห็นด้วยตนจะเดินทางไปขอหารือกับเวียดนามซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 3 ของโลกต่อไป
นอกจากนั้น จะลงไปดูแลปัญหาที่กองทุนเก็งกำไรข้ามชาติ (เฮดจ์ฟันด์) เข้ามาเก็งกำไรราคาข้าวในตลาดซื้อขายล่วงหน้าว่าเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมาตนดูแลที่ชาวนาพ่อค้าข้าวและผู้ส่งออก ยังไม่ลงไปถึงข้อมูลตรงนี้และวันที่ 5 เม.ย.นี้จะได้รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระบวนการค้าขายข้าวทั้งระบบ เพราะได้เชิญ 13 สมาคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้าวมาประชุมร่วมกัน ซึ่งจะเปิดให้ทุกฝ่ายได้ ชี้แจงกันอย่างเต็มที่
นายปราโมทย์ วานิชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกับนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ วันนี้ (5 เม.ย.) สมาคมโรงสีข้าวไทยจะเสนอให้รัฐอย่ากำหนดราคาส่งออกข้าวขั้นต่ำตามที่ผู้ส่งออกเสนอ เพราะจะทำให้ราคาข้าวภายในประเทศตกต่ำลงและไม่ได้แก้ไขปัญหาเรื่องข้าวขาดแคลนตามที่ผู้ส่งออกกล่าวอ้าง “มาตรการกำหนดเพดานราคาขั้นต่ำถือเป็นดาบสองคม แม้ว่าผู้ส่งออกข้าวจะระบุว่าจะช่วยให้ราคาข้าวมีเสถียร-ภาพมากขึ้น กำหนดราคาส่งออกที่แน่นอน แต่ราคาข้าวในประเทศร่วงลงแน่นอน การดูแลราคาข้าวในประเทศที่ถูกต้องคือรัฐควรนำข้าวในสต๊อกไม่ต่ำกว่า 200,000-300,000 ตัน ออกมาทำข้าวถุงราคาถูกขายในประเทศ ส่วนข้าวที่เหลือใน สต๊อกต้องเก็บไว้และอย่าขายให้ผู้ส่งออก” นายปราโมทย์กล่าว
ด้านสมาคมค้าปลีกออกโรงชี้แจงกรณีที่สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทยระงับการส่งข้าวบรรจุถุงมาจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดในช่วงนี้ โดยอ้างว่าเนื่องจากโมเดิร์นเทรดกำหนดเครดิตในการชำระเงินนานถึง 80 วันทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนว่า เป็นข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผลเนื่องจากกำหนดการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ของโมเดิร์นเทรดนั้นจะใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันหมด และที่ผ่านมามีการทำธุรกิจภายใต้ระบบนี้มาด้วยดีตลอดจึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สมาคมมีแนวคิดที่จะระงับการส่งข้าวบรรจุถุงมาจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด
ทั้งนี้ สาเหตุที่แท้จริงน่าจะมาจากในช่วงนี้ราคาข้าวในตลาดโลกมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้ผู้ค้าข้าวผู้ผลิตข้าวถุงซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดียวกับผู้ส่งออกต้องการส่งออกมากกว่าจำหน่ายในประเทศประกอบกับการให้ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ที่ว่าแนวโน้มราคาข้าวจะสูงขึ้นอีกจึงทำให้ผู้ค้าข้าวและพ่อค้าคนกลางกักตุนเพื่อเก็งกำไร ขณะที่ผู้บริโภคก็เกิดภาวะแตกตื่นเร่งซื้อข้าวเพิ่มขึ้น เพราะเกรงว่าราคาข้าวจะสูงขึ้นไปอีก “เรื่องกำหนดระยะเวลาเครดิตของห้างโมเดิร์นเทรดนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อให้พวกตนได้สต๊อกสินค้าได้มากขึ้น และที่บอกว่าจะส่งข้าวถุงไปจำหน่ายในช่องทางอื่น เช่นในตลาดสด หรือร้านค้าปลีกดั้งเดิมนั้น ก็ไม่มีผู้ใดตรวจสอบได้ ภาวะที่เกิดขึ้นนี้กรมการค้าภายในควรจะเข้าไปตรวจสอบการกักตุนข้าวของโรงสีหรือผู้ค้าข้าวรายใหญ่ควบคู่ไปด้วยไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการเอาข้าวในสต๊อกของรัฐมาขายในราคาถูกเพียงอย่างเดียว”
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาอาหารสัตว์ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมการ แต่การประชุมต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะผู้ผลิตอาหารสัตว์ไม่เข้าร่วมการประชุม โดยอ้างว่าคณะอนุกรรมการส่วนใหญ่มีแต่กรรมการที่เป็นผู้ใช้อาหารสัตว์ ไม่ใช่ผู้ผลิตเมื่อมีการลงมติในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะการปรับขึ้นราคาทำให้ถูกคัดค้านอย่างมาก จึงอยากให้มีคนกลาง เช่น นักวิชาการ ผู้บริโภคด้วย.
ที่มา ไทยรัฐ