กรุงเทพฯ 9 เม.ย. – “พ.ต.ท.ทักษิณ” ปาฐกถายืนยันปล่อยวางและเลิกเล่นการเมือง หันมาทำงานเพื่อสังคม โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาส ขณะเดียวกัน จี้รัฐบาลเร่งโครงการเมกะโปรเจกต์ ระบุหากได้เงินคืนจะตั้งกองทุนเอเชีย สร้างความเชื่อมั่นในภูมิภาค ผู้สื่อข่าวรายงานจากโรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (9 เม.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “คิดเป็น ทำเป็น ปั้นเด็กไทยให้เรียนรู้ และรู้โลก” โดยมี นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล นายวราเทพ รัตนากร นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล นายประชา มาลีนนท์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เข้าร่วม พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขอบคุณที่ช่วยกันบริจาคเงินเข้ามูลนิธิไทยคมกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้ 2 ส่วน คือ เป็นทุนการศึกษาให้กับเด็กผู้ยากไร้ ซึ่งจะนำไปสมทบกับทุนส่วนตัวที่ใช้ไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งจะจัดทำโครงการพิเศษช่วยเด็กหูหนวก ด้วยการฝังไมโครชิปด้านหลังหู ทำให้กลับมาได้ยิน จำนวน 10 คน อายุระหว่าง 3-13 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่าโลกปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงมาก ความไม่แน่นอนสูง มีความยุ่งยากซับซ้อน และความไม่ชัดเจน จึงต้องมีวิสัยทัศน์ในการเข้าใจโลก มีมุมมองที่ชัดเจน มีความเด็ดขาดแม่นยำ ส่วนตัวเป็นห่วงอนาคตของประเทศ หลังจากที่ทำงานเพื่อประเทศชาติมาหลายปี อยากจะหาทางช่วยในทุกทางที่ช่วยได้ การลงทุนกับเด็ก เหมือนเป็นการเตรียมการให้กับประเทศในอนาคต “เด็กเปรียบเหมือนเจนเนอเรชั่นที่สอง หากไม่มีคุณภาพ ประเทศก็จะไม่มีคุณภาพด้วย โลกทุกวันนี้การพัฒนาสมองเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อไปบริหารขับเคลื่อนเศรษฐกิจในวันข้างหน้า หากไม่มีคนที่มีคุณภาพ ประเทศก็จะแย่ ผมเป็นห่วงเด็กไทยคิดไม่เป็นและมีอยู่ทั่วไป ทั้งที่มีวัตถุดิบที่ดี มีความเก่งอยู่ในตัว แต่ขาดความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าแสดงออก ขาดการเจียระไนที่ดี” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังการปฏิวัติที่ผ่านมา พยายามคิดตลอดเวลา ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่สอนให้ปล่อยวาง ไม่เครียด หลังจากนั้นจึงได้เดินทางไปหลายประเทศทั่วโลก เพื่อค้นหาสิ่งต่าง ๆ นำมารวบรวมช่วยเหลือประเทศ ตนยืนยันว่าจะไม่กลับมาเล่นการเมืองแล้ว อยากทำหน้าที่ในฐานะคนไทย อย่างน้อยก็ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะช่วยสร้างบ้านเมืองให้เดินไปสู่ทิศทางที่ดีในวันข้างหน้าได้ ตนอยากให้ประเทศไทยทำอะไรที่คิดสร้างสรรค์ เพื่อหาปัญหาของสิ่งที่เกิดขึ้น คิดวิธีแก้ การจัดการต้องเริ่มตั้งแต่ระบบการศึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขณะนี้การศึกษาต้องเน้นใช้ทฤษฎีควบคู่ด้วยการเชิญครูกับเด็ก ให้เด็กสามารถมีความคิด แสดงออกได้อย่างเต็มที่ เกิดการพัฒนา เชิงความคิดสร้างสรรค์ ต้องมองในทางบวกให้มาก ซึ่งขณะนี้เป็นปัญหาอยู่ เด็กไทยคิดในทางบวกน้อย ดังนั้น จึงอยากให้เกิดการพัฒนาทางความคิดตั้งแต่เด็ก ซึ่งจะเป็นการพัฒนาคนรุ่นใหม่ ให้เป็นตัวแทนของเรา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า ปีนี้ราคาน้ำมันคงถึง 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลแน่นอน ดังนั้น ถึงเวลาลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์แล้ว เพราะค่าเงินบาทแข็ง รัฐบาลต้องเร่งทำโดยด่วนด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีของภาคเอกชนร่วมกัน และหากมีอะไรก็ควรหันหน้าพูดคุยกัน ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะเดินขบวน ไม่มีประโยชน์ ต้องช่วยกันเสนอแนะแนวคิดแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์กับรัฐบาล ที่ผ่านมาหลายประเทศก็สนใจมาลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ โดยเฉพาะตอนที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี เพียงแต่รัฐต้องส่งสัญญาณให้ดี และประชาชนในบ้านเมืองมีความสามัคคี “และหากได้เงินคืนมาก็สนใจจะไปตั้งกองทุนเอเชีย สร้างความเชื่อมั่นในภูมิภาค นำเงินสดที่อยู่ในโลกขณะนี้เข้าประเทศเยอะ ๆ เพื่อจะช่วยคนไทย แต่ก็อยากให้คนไทยรวมพลังให้ได้มากกว่านี้ เลิกขัดแย้งทะเลาะกัน ปล่อยวาง อย่าถือทิฐิใส่กัน มองโลกในแง่บวก ช่วยกันทำในสิ่งที่ดี บ้านเมืองจะได้ไปได้ ที่ผ่านมาก็สนับสนุนให้คนรักกีฬา เพราะกีฬาจะสอนให้คนมีวินัย เคารพกฎกติกา ทำอะไรอยู่ในระเบียบ” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะมีกำลังใจให้ทุกคน ที่มาให้กำลังใจตนและอยากให้กำลังใจคนไทย ยอมรับว่าชีวิตในต่างประเทศมีทั้งความสุขและความทุกข์ แต่ขณะนี้ปล่อยวางแล้ว เพราะคิดว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ชีวิตก็มีแค่นี้ บางคนบอกว่าดีที่ชีวิตเกิดมาครั้งหนึ่งได้รู้จักทั้ง นรก สวรรค์ ในชาติเดียว ที่ผ่านมาเดินทางไปที่ญี่ปุ่นก็ถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่ มีการตรวจค้นซักถามมากกว่าบุคคลธรรมดา ซึ่งบางครั้งไม่สามารถเล่ารายละเอียดได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้นำระดับสูงของหลายประเทศโทรศัพท์มาให้กำลังใจ พอกลับมาถึงเมืองไทยก็มีพรรคพวกชวนตั้งมูลนิธิ 111 เพื่อทำประโยชน์ให้กับส่วนร่วม แต่ตนไม่ได้พูดอะไรมาก ต้องยอมรับว่าคนที่เข้ามาทำงานทางการเมืองจะมีประมาณร้อยละ 50 ที่รักประชาชน รักประเทศชาติบ้านเมือง อยากทำงานให้ส่วนร่วม.-สำนักข่าวไทย
อัพเดตเมื่อ 2008-04-09 15:06:39