ถึงวันนี้ก็ช้าไปแล้วสำหรับ นพดล ปัทมะ กับการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัฐมนตรีไม่ได้แพ้ที่ยูเนสโกขึ้นบัญชีพระวิหารเป็นมรดกโลก..เพราะศาลกรุงเฮกเขาตัดสินมาอย่างนั้นนานแล้ว องค์กรระดับโลกกับศาลโลกเขาต้องขานรับซึ่งกันและกันแต่รัฐมนตรีแพ้ที่กรุงเทพฯ..แพ้เพราะว่า..แถลงการณ์ร่วมนั้น..มันไม่ใช่อำนาจของท่าน..เป็นความเห็นของสภาและใช้อำนาจโดยพระมหากษัตริย์พรรษาท่านใหม่..ท่านลืมไปว่า..สำหรับประเทศนี้รัฐบาลนั้นเล็กนิดเดียว..เล็กกว่า “แก๊งออฟไฟฟ์” ที่ใหญ่โตครอบบ้านครองเมืองอยู่ในขณะนี้
ปัญหาอยู่ที่ว่า..คำพิพากษานี้ถึงจะไม่มีบทลงโทษ..แต่อาจจะนำไปสู่การถูกถอดถอนโดยรัฐสภาหรือแม้แต่โดยวุฒิสภาปัญหาอยู่ที่ว่า..คณะรัฐมนตรีที่มีมติเห็นด้วยกับข้อเสนอของ นพดล ปัมทะ ในเรื่องนี้ จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่นี่จะเป็นความวุ่นวายอีกดอกหนึ่ง ที่พุ่งตรงเข้าใส่เสริมสร้างความวุ่นวายประดามี ที่กองสุมอยู่แล้วให้เพิ่มขนาดและความร้อนแรงยิ่งขึ้นส่วนจะร้อนแรงถึงขั้นต้องแยกแผ่นดินกันอยู่หรือไม่นั้น..เป็นเรื่องคาดการณ์ไม่ยากณ..ที่นี้ บนถนนแห่งบรรทัด..เราเคยขอให้ นพดล ปัทมะ แสดงสปิริตล่วงหน้า..ลาออกไปก่อน เพราะการกระทำที่ล่วงเกินกว่าอำนาจแต่ท่านสมัครที่จะสู้ สมัครที่จะอยู่ แต่คงไม่ใช่สำหรับวันที่เหลืออยู่ข้างหน้า..เพราะการแข็งขืนดึงดันของท่านจะเป็นการทำร้ายทำลายหมู่คณะ
ท่านไม่ได้ทำให้เราเสียเพระวิหาร..เพราะมันเสียมาก่อนแล้ว..เสียเพราะว่า..เราใม่เคยมีนายกรัฐมนตรีมีทหารอย่าง จอมพล ป.พิบูลสงคราม..อีกเลย..ปี 2485 นายกรัฐมนตรีพลตรีหลวงพิบูลสงครามประกาศสงครามกับฝรั่งเศส..ส่งกำลังรบบุกตะวันออกในสงครามอินโดจีน..หลังสงครามนั้น..ไม่ใช่แค่พระวิหาร..ศรีโสภณ-มงคลบุรี-พระตะบอง-ฝรั่งเศสทำความตกลงยกให้กับประเทศไทย..มันมีอยู่ในจดหมายเหตุของทั้ง 3 ชาติ..ไทย-ฝรั่งเศส-ญี่ปุ่นแต่..นักกฎหมายงี่เง่าในครั้งนั้น..มันโง่เง่าในการต่อสู้.. เพราะ สฤษดิ์ ธนะรัชต์..ยอมรับในสิ่งที่ใช้อาวุธปกป้องได้..แต่ไม่ปกป้องมันถึงต้องเสียแผ่นดิน
พญาไม้