คอลัมน์ : ละครชีวิต
5 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลเดินหน้า 3 ก้าว ถอยหลัง 4 ก้าว
ทุกก้าวที่เดินหน้า ก็จะถูกท้าตีท้าต่อย หาเรื่องหาราว ถูกล้อมกรอบทั้งจากกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคฝ่ายค้าน โดยมีกลุ่มเชื้อชั่วไม่เคยตาย หรือคณะเผด็จการภายใต้การชี้นำและกำกับการแสดงของ “มือที่มองไม่เห็น” เป็นทั้งแนวร่วมและกองหนุน
หลายครั้งหลายคราที่รัฐบาลทำท่าทำทางว่าจะเอาจริง จะปักหลักสู้ จะชูกำปั้นเข้าแลกหมัดกับกลุ่มการเมืองทั้งในระบบและนอกระบบ ที่จับมือกันกลุ้มรุมทำร้าย แต่สุดท้ายก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม รับความเจ็บปวดไว้แต่เพียงผู้เดียว นำมาสู่ ความคับข้องใจ ขัดเคืองใจ และไม่เข้าใจของประชาชนที่ให้การสนับสนุน ซึ่งเจ็บปวดหัวใจยิ่งกว่าที่เห็นรัฐบาลถอยไม่เป็นท่า เช่นที่ผ่านมา
5 เดือนที่ผ่านมา ศัตรูของรัฐบาลได้ใจ เหิมเกริม ปฏิบัติการรุนแรงและก้าวร้าว ละเมิดกฎหมายหนักข้อขึ้นทุกวัน และปลุกระดมมวลชนให้มาร่วมกันทำผิดกฎหมายอย่างเมามัน ไม่ยอมรับกระทั่งคำสั่งศาล และยังบังอาจจะรวบรวมรายชื่อ 20,000 คน ถอดถอนผู้พิพากษาที่ไม่ยอมตกอยู่ใต้อิทธิพลของตนเองอีกด้วย
5 เดือนที่ผ่านมา ผู้สนับสนุนของรัฐบาลซึ่งเป็นประชาชนผู้ให้กำเนิดรัฐบาลนี้ขึ้นมา อยู่ในอาการอ่อนระโหยโรยแรง และมีความคิดความเห็นขัดแย้งกับรัฐบาล ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะอยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการนำความสงบมาสู่บ้านเมือง และกำจัดเสี้ยนหนามของแผ่นดินที่คอยปั่นป่วนก่อกวนบ้านเมืองจนวุ่นวาย ไม่ใช่ยอมให้ด่า ยอมให้ทุบตีอยู่ข้างเดียว
5 เดือนที่ผ่านมา เครดิตของรัฐบาลลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะท่าทีและการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด ไม่เด็ดเดี่ยว ประเดี๋ยวทำท่าจะรุก ไม่ทันข้ามวันก็ถอยกรูด รัฐมนตรีบางคนดีแต่พูดท้าตีท้าต่อย แต่พอเจอกันจริงแบบประจันหน้า ก็ล่าถอยไม่เป็นขบวน ละทิ้งหน้าที่การงานที่ตั้งใจไปทำ หนีเอาชีวิตรอดกลับกระทรวง แบบที่เรียกว่า “เผ่นป่าราบ”
การประกาศกร้าวของนายกรัฐมนตรี ที่จะไม่ให้ม็อบพันธมิตรฯ ปิดถนน ขวางเส้นทางเสด็จฯ ทำผิดกฎหมายให้บ้านเมืองเสียหาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 1 เดือน ที่ คำเตือน คำประกาศกร้าวของนายกรัฐมนตรี ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีหน่วยงานใดรับไปปฏิบัติ ม็อบพันธมิตรฯ ยังคงปิดถนนขวางเส้นทางเสด็จฯ ในขณะที่ประชาชนต้องอดทนรับความลำบาก และหาทางสู้กับม็อบพันธมิตรฯ ด้วยตัวเอง โดยที่รัฐบาลไม่ได้เข้ามาดูแลแก้ไขให้
กรณีกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่ถูกปั่นกระแสขึ้นมา จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ทางการเมือง และเป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชน 2 ชาติ เหมือนกับ ผีดิบที่ตายไปแล้ว 45 ปี ถูกปลุกขึ้นมาบีบคอรัฐบาล จนหายใจติดขัด อึดอัดราวกับจะขาดลมหายใจอยู่ในเวลานี้ ก็เพราะการเดินหน้า 3 ก้าว ถอยหลัง 4 ก้าว ของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เรื่องธรรมดาสามัญที่กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการต่อเนื่องกันมา 3 ปีเศษ กลายเป็นเรื่องที่มีพิรุธ มีจุดสังเกต และกลายเป็นเหตุให้คนเข้าใจผิดว่า ไทยต้องเสียปราสาทเขาพระวิหาร เสียดินแดน เสียอธิปไตยอีกครั้ง ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลนี้ ที่เพิ่งเข้ามารับผิดชอบได้เพียง 4 เดือน และเป็น 4 เดือนที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากทั่วโลกรับทราบว่า ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชามา 46 ปีแล้ว
ประเด็นใบแดงของ ยงยุทธ ติยะไพรัช ที่นำมาสู่การคาดหมาย “ยุบพรรคพลังประชาชน” จนทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ไม่ได้รับความไว้วางใจทั้งจากประชาชนในประเทศ และต่างประเทศว่า รัฐบาลยังมีความเข้มแข็งมากพอที่จะบริหารประเทศได้ ในภาวะที่สารพัดปัญหารุมเร้า ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และความแตกแยกของคนในชาตินั้น อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เรื่องใหญ่ หรือเรื่องที่ต้องตื่นตระหนกตกใจและพากันวิเคราะห์ไปต่างๆ นานา
ใบแดงของ ยงยุทธ ติยะไพรัช ได้รับมาตั้งแต่ชั้น กกต. แล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพียงแต่รับรองการวินิจฉัยของ กกต. เท่านั้น ในขณะที่เรื่องการยุบพรรคพลังประชาชนยังมีเวลาต่อสู้คดีกันอีกหลายยก แต่ คนในรัฐบาล ในพรรคพลังประชาชน กลับยกมือยอมแพ้ด้วยความตื่นกลัว ราวกับว่าพรรคจะถูกยุบกันวันนี้ พรุ่งนี้ ร้องแรกแหกกระเชอ เผยไต๋ ไขความนัยออกมาจนหมดเปลือกว่า ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากยุบสภา กับลาออก ยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ และสถานะของรัฐบาลทรุดต่ำลงไปอีก แม้แต่คนในยังไม่เชื่อมั่น คนนอกจะวางใจได้อย่างไรว่ารัฐบาลจะไปรอด
การขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ก็เป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งที่แสดงให้เห็นอาการเดินหน้า 3 ก้าว ถอยหลัง 4 ก้าว และการตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด ยอมโอนอ่อนผ่อนตามให้แก่ศัตรู แต่ดูจะขัดใจผู้สนับสนุนของรัฐบาล ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เปรียบเสมือนผลไม้พิษ ที่เผด็จการ คมช. บังคับให้กินและกลืนลงคอ และวันนี้ก็สำแดงฤทธิ์ให้ห็นแล้ว
กฎหมายสูงสุดของประเทศกลายเป็นปัญหาอุปสรรคสำคัญที่สุดของการบริหารประเทศ อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตกอยู่ใต้การวินิจฉัยตีความของอำนาจตุลาการ ซึ่งเป็นอำนาจเดียวที่ประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนตรวจสอบ
ทั้งนายกรัฐมนตรีและพรรคพลังประชาชน ตลอดจนพรรคการเมืองทุกพรรค ก็เคยประกาศไว้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งว่า จะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมีปัญหา และจะก่อให้เกิดปัญหามากมาย แต่สุดท้ายเมื่อถูกกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ข่มขู่ ก็กลัวหงอกันไปหมด หัวหดอยู่ในกระดอง
โดยเฉพาะ ส.ส. พรรคพลังประชาชน นอกจากไม่กล้าโผล่หัวแล้ว ยังไม่กล้าเปิดตาอีกด้วย ไม่กล้ากระทั่งเงยหน้ามองประชาชนกว่าแสนคนที่ถูกตัวเองชักชวนให้มาร่วมลงชื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550
ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีแก่ใจว่าเภทภัยต่างๆ ทั้งที่เกิดไปแล้ว กำลังเกิดขึ้น และจะเกิดอีกในอนาคตอันใกล้และไกล ที่จะนำมาสู่การยุบพรรค ล้มรัฐบาล และดับชีวิตทางการเมืองของตนเอง ไปจนถึงการต้องจบชีวิตในคุกตะราง เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญที่เป็นกับดักของเผด็จการ คมช. แต่รัฐบาล และพรรคพลังประชาชน ก็ยังไม่กล้าลุกขึ้นมาสู้กับศัตรูที่ใช้รัฐธรรมนูญและอำนาจตุลาการเป็นอาวุธ เป็นเครื่องมือฟาดฟันเอาชีวิต
ผมได้แต่ภาวนาว่า คำพูดของนายกรัฐมนตรีที่บอกว่า “จะไม่ปอด ไม่ถอย” จะเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาด และเป็นการเริ่มต้นสู้อย่างจริงจังเสียที หลังจากที่ปล่อยให้ประชาชนผู้สนับสนุน คอยเก้อ เงื้อค้างมานานแล้ว และจะเป็นการยุติคำถามที่ประชาชนผู้ให้การสนับสนุนและให้กำเนิดรัฐบาลนี้ขึ้นมา ที่หนาหูขึ้นเรื่อยๆ ว่า...
“เมื่อไรจะลุกขึ้นสู้” เสียที
นายกอ