WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, November 14, 2008

แผนชั่วปิดทาง “ทักษิณ” ลากไส้


คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว

โดย*อัฐศิริ*


“ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการสมคบคิด กลั่นแกล้งพันธมิตรฯ ทุกวิถีทาง รวมทั้งมีการซื้อตัวการ์ด เพื่อให้กลับมาสร้างสถานการณ์ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่พันธมิตรฯ กำลังหามาตรการดำเนินการต่อไป”

โอ้ ลัลล้า ใครก็ได้ช่วยทีเถอะ การ์ดของพันธมิตร พันธมาร มีราคาค่างวดปานนั้นเชียวหรือ นายสุริยะใส กตะศิลา พูดผิดพูดใหม่ได้นะ เพราะที่ผ่านมาพันธมิตรพันธมารพูดผิดทำผิดๆ มามากแล้ว อย่างน้อยก็ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง

นายสุริยะใส ยังคุยใหญ่คุยโตอีกว่า ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เรียบร้อยแล้วหากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็นการ์ดพันธมิตรฯ พกอาวุธ ก็สามารถจับกุมได้ทันที โดยจะไม่มีการประกันตัวใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากพันธมิตรฯ ไม่สนับสนุนให้พกอาวุธ โดยเฉพาะนอกเขตพื้นที่การชุมนุม

นี่แสดงว่า การ์ดของพันธมาร สามารถพกอาวุธในเขตยึดครองคือทำเนียบรัฐบาลได้ใช่ไหมแล้วที่บอกว่า ชุมนุมกันอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ นั่นก็เป็นการโกหกชาวบ้าน

เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่า ในทำเนียบรัฐบาลวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับซ่องโจร เป็นที่ส่องสุมอาวุธวัตถุระเบิด และยาเสพติด
แล้วที่ระเบิดตูมตาม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม วันที่ม็อบพันธมารยกโขยงกันไปปิดล้อมสภานั้น แน่ใจนะว่าไม่มีอาวุธ แน่ใจนะว่า ไม่ทำให้ใครต้องบาดเจ็บล้มตาย แล้วไปให้ร้ายป้ายสีว่า ตำรวจว่าเป็นคนทำร้ายประชาชน

แหมทำใจให้เชื่อยากครับ เพราะยกโขยงออกไปอย่างนั้น รู้ทั้งรู้ว่าต้องทำอะไร ต้องใช้อะไร อย่างไรแค่ไหน ลำพังหนังสติ๊ก ไม้เบสบอลจะไหวหรือ ทำให้คิดไปถึง กองโจรศรีวิชัย ตอนที่เข้าไปปิดล้อมบุกยึดสถานีโทรทัศน์ NBT มันพร้อมทำศึกไม่ใช่หรือ หรืออย่างการจับกุมการ์ดพันธมาร พร้อมระเบิด แกนนำก็ออกมาแก้ตัวเป็นพัลวันว่า ไล่ออกไปแล้ว แปลความได้ว่า ความจริงก็คือเคยทำงานให้พันธมาร จริงๆ เหมือนอย่างที่ กองโจรศรีวิชัย ที่ไปยึดสถานีโทรทัศน์ NBT บนเวทีพันธมารแสดงอาการยินดีโห่ร้องประกาศชัยชนะ แต่พอถูกจับกุม กลับบอกว่าไม่ใช่ ไม่ยอมแสดงความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น

พอสอบไปสอบมาไปๆ มา คนพวกนี้เป็นกลุ่มพันธมารจริงๆ และยังป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย เลยยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ ในความสัมพันธ์ที่พยายามปฏิเสธมาตลอด

นอกจากนี้ นายสุริยะใส กตะศิลา ยังท้าทาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยรายชื่อบุคคลที่กล่าวหาว่าเป็นศัตรูทางการเมือง เพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

พร้อมกับกัดฟันพูดว่า ไม่กลัวคำขู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะเอาคืนทางการเมือง แต่อยากให้กลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมจะเหมาะสมกว่า

นอกจากนี้ ยังได้เรียกร้องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงอัยการสูงสุด ต้องมีความจริงใจที่จะเป็นเจ้าภาพนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยโดยเร็ว มิใช่พยายามยืดเวลาอย่างที่เป็นอยู่

เมื่อเทียบฟอร์มกันระหว่าง นายสุริยะใส กับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ผมว่ายังห่างกันลิบลับ แต่ทำไมถึงได้ก้าวร้าวอย่างนี้ ก็ต้องหันไปดูภูมิหลังกันหน่อยเป็นไร

นายสุริยะใส มีบทบาทสำคัญในช่วงที่ ออกมาเคลื่อนไหว กรณี สปก. 4-01 ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกโจมตีอย่างหนัก ได้นำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา

ซึ่งตอนนั้นมี ส.ส.ระดับขุนศึก จับมือกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของหนังสือเครือผู้จัดการ เดินเกมทางการเมืองทั้งในและนอกสภา ในที่สุดก็ล้มรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ลงได้

จากนั้นก็ไปคลุกคลีอยู่กับ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 เพื่อรณรงค์ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2551 ให้เป็นประชาธิปไตย แต่ต่อมาได้ยุติบทบาทลงในปี 2526 จนกระทั่งมีการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 จึงได้มีการมารวมตัวกันอีก จนได้ตำแหน่งรองเลขาธิการ และมาเป็นเลขาธิการ ในที่สุด

เมื่อนำ ครป.มารวมกับกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีแกนนำ 5 คน คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงชัย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ โดยนายสุริยะใส อยู่ในตำแหน่งผู้ประสานงานของเครือข่ายพันธมิตรฯ ทำหน้าที่ให้ข่าวกับสื่อมวลชนและแก้ตัวในกรณีที่เกิดเรื่องความอัปยศอดสูขึ้นมา

ขบวนการนี้แหละ ที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายอยู่ทุกวันนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า ชีวิตของนายสุริยะใสวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว จากเคยต่อสู้กับอำนาจเผด็จการยุค รสช. มาเป็นผู้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับทหารอย่างแนบแน่น

สถานการณ์ของม็อบพันธมาร ที่เจอจังๆ ไป 2 ดอกคือ ลบหลู่กระทำในสิ่งมิบังควรต่อ พระพุทธเจ้าหลวง สมเด็จพระปิยมหาราช กับการบังอาจขัดขวางการเสด็จพระราชดำเนินขององค์พระประมุขและพระบรมวงศานุวงศ์ ในถนนราชดำเนินกลาง จนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลถวายของความปลอดภัย ต้องเลี่ยงไปใช้ถนนหลานหลวงแทน ทำให้พันธมารต้องถอยร่นไปอยู่ในสภาพที่จนตรอก

คนที่เคยยื่นมือช่วยเหลือเจอจุน หรือคอยบงการชักใยอยู่ข้างหลัง ต้องระวังตัว เก็บตัวมากขึ้น เพราะสิ่งที่พันธมารทำลงไปนั้น มันสะเทือนใจคนไทยทั้งชาติ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้จริงๆ

จนทำให้นายสนธิ ต้องลงทุน ทำตัวปานประหนึ่งว่า เป็นจอมขมังเวท ใช้ “ไสยศาสตร์” เพื่อต้องการดึงให้ “โล่มนุษย์” ที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล อดทนอยู่ต่อไป

ผมว่าคนไทยที่รักและคิดถึง อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้ที่ต่อต้านรัฐประหาร ขัดขวางการยึดอำนาจ มีความเอิบอิ่มหัวใจกันพอสมควร หลังจากได้รับฟังคำพูดจากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคืนวันแดงเดือดที่ สนามราชมังคลากีฬาสถาน งาน ความจริงสัญจร ต้านรัฐประหาร ยิ่งมาตอกย้ำจากการให้สัมภาษณ์ทางสำนักข่าวรอยเตอร์ส ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่า

“ผมต้องพูดกับคนที่ยังรักและศรัทธาผม ผมต้องพูดให้เขาฟัง และคราวหน้าคงจะต้องพูดให้ยาวขึ้น และคงต้องเปิดเผยชื่อผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะเขาไล่ผมแบบนี้แล้ว มันมากไปแล้ว”

เพราะเหตุนี้เอง ทำให้ม็อบโกเต๊กซ์ กลุ่มผู้สูญเสียอำนาจ กลุ่มที่ฝักใฝ่อำนาจเผด็จการ ต้องออกมาเต้น จนมีข่าวว่า จะมีการสร้างสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่ความรุนแรงให้ได้

จะมีการจัดการขั้นเด็ดขาด เพื่อขัดขวางการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะโฟนอินมา ถลกหนังหัว ลากไส้ ฝ่ายที่ต้องการทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ และล้มล้างระบอบทักษิณ

เพราะนั่นหมายถึงอวสาน ของกลุ่มคนที่สร้างความบอบช้ำ สร้างความเสียหายทางธุรกิจ และสร้างความแตกแยกให้กับสังคม

คนเหล่านี้แหละ ที่ขัดขวางต่อต้านการปกครองระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทย