'ปธ.รัฐสภา' ประกาศลั่นรัฐสภาเสาหลักประชาธิปไตย ย้ำต้องเข้มแข็ง จัดเลือกตั้งที่เป็นธรรม-บริสุทธิ์ ไม่แทรกแซงการทำงานของสื่อฯ
วันนี้ (9 พ.ย.) สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับรัฐสภา จัดสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "บทบาทรัฐสภากับการปฏิรูปการเมืองไทย" ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เพื่อสนับสนุนและพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสมาชิกรัฐสภา หน่วยงานภาครัฐ ประชาชน นักเรียนและนักศึกษา เพื่อทราบถึงมุมมองต่อบทบาทของรัฐสภาในการแก้ไขวิกฤติบ้านเมือง และเพื่อวิเคราะห์บทบาทของรัฐสภาในการทำหน้าที่ภายใต้กรอบกฎหมาย และอำนาจที่กำหนดไว้
รวมทั้งการใช้ช่องทางรัฐสภาในการแก้วิกฤติทางการเมืองอย่างสมานฉันท์สันติสุข ในสภาวะการณ์ปัจจุบันที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมือง อันเนื่องมาจากบุคคลมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน จนก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับสิ่งต่างๆ ภายในบ้านเมืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
โดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เป็นประธาน และมีนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศร่วมงาน อาทิ นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ศ.ดร.สุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒนาการเมือง สถาบันพระปกเกล้า นายวิชา มหาคุณ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ร่วมกันอภิปราย
นายชัย กล่าวถึงบทบาทรัฐสภาในฐานะเสาหลักประชาธิปไตยว่า หลักรัฐสภามีหลัการ 7 ข้อ เกี่ยวกับประชาธิปไตย นั่นคือ ต้องเข้มแข็ง มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ และเป็นธรรม ต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันทางเพศ และความเป็นธรรม ประชาสังคมต้องกระตือรือร้น มีพรรคการเมืองที่มีประสิทธิภาพ และมีสื่อมวลชนที่ทำงานอย่างอิสระ อีกทั้งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ต้องอยู่ที่กระบวนการปฎิรูปการเรียนรู้ของคนในสังคม ต้องทำให้คนในสังคมรู้จักคิด วิเคราะห์อย่างมีเหตุและผล ใช้หลักวิชาการ มีวุฒิภาวะ สามารถวิเคราะห์สภาพสังคม การเมือง ระบบอุปถัมภ์ ทุนนิยมผูกขาดได้อย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ ประธานรัฐสภา กล่าวอีกว่า ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ต้องขึ้นอยู่กับ กระบวนการปฏิรูปการเรียนรู้ของคนในสังคมให้รู้จักคิด วิเคราะห์ อย่างเป็นเหตุผล มีหลักวิชาการ รู้จักมองในลักษณะกว้างไกลอย่างมีวุฒิภาวะ โดยไม่มองแบบแบ่งขั้วจนง่ายเกินไป รู้จักวิเคราะห์สภาพสังคม ระบบอุปถัมภ์การเมือง และทุนนิยมผูกขาดทางเศรษฐกิจได้อย่างสร้างสรรค์
ปธ.สภาฯปฎิเสธนัดหารือพรรคร่วม
ประธานสภาผู้เเทนราษฏร ปฏิเสธการนัดหารือกับนายวิทยา บุรณะศิริ ประธานคณะกรรมการผู้ประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)
โดยกล่าวว่า ตนไม่เคยนัดใครหารือทั้งสิ้น พร้อมย้ำว่าการที่จะบรรจุญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมนั้นจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบความถูกต้องภายใน 7วันหลังจากมีการยื่นเรื่องเข้ามา หากพบว่าไม่ถูกต้องก็ต้องส่งเรื่องกลับ ซึ่งตนไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีการพิจารณาให้เสร็จทันสมัยการประชุมนี้หรือไม่ และในวาระการประชุมสมัยนี้มีเพียงวาระเดียวที่ต้องประชุมร่วมรัฐสภา คือการหารือข้อตกลงไทย-เกาหลี ในวันที่ 24 พฤศจิกายนนี้
อย่างไรก็ตาม หากมีการยื่นร่างดังกล่าวเข้ามาจริง และอาจจะมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยมาชุมนุม เช่นกับวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา มาตราการเดียวที่สภาฯ จะเตรียมรองรับคือการเลื่อนการประชุมออกไปเท่านั้น
ส.ส.มัชฌิมาฯหวั่นแก้รธน.'ม็อบถ่อย'จุดชนวนนองเลือด!ซ้ำรอย7ต.ค.
ส.ส.ปราจีนฯ พรรคมัชฌิมาฯยันไม่เห็นด้วยหากเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม.291 สัปดาห์หน้า เกรงเกิดความวุ่นวายเหมือน 7 ต.ค. วอนรัฐบาล ฝ่ายค้าน พันธมิตรฯจูบปากแก้ปัญหาบ้านเมือง
นายเกียรติกร ภาคเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคมัชฌิมาธิปไตย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล กล่าวว่า วันนี้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นัดหารือกับ นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปรัฐบาล และได้เชิญตนเองมาร่วมหารือว่าจะนำเรื่องใดเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวันพุธนี้อย่างไม่เป็นทางการ โดยอาจมีการหารือเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ด้วย ซึ่งส่วนตัวก็เห็นด้วยกับการแก้ไข แต่เห็นว่าเวลานี้ยังไม่เหมาะสม น่าจะชะลอออกไปก่อน เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นอีกเหมือนเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา จึงอยากให้รัฐบาลหันมาแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง พืชผลทางการเกษตรเสียหาย
“ส่วนตัวต้องการให้ทั้งฝ่ายค้าน รัฐบาล พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทหาร และตำรวจ เข้ามาหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤติของบ้านเมือง เพราะหากรัฐบาลดำเนินการฝ่ายเดียว เชื่อว่าปัญหาต่างๆ จะไม่จบ”ส.ส.พรรคมัชฌิมาฯ กล่าว
นายเกียรติกร กล่าวด้วยว่า ตนเชื่อว่าหากมีการบรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรจริง ก็คงไม่สามารถพิจารณาได้ เพราะ ส.ส.หลายคน รวมทั้งข้าราชการของรัฐสภา คงไม่เข้ามาทำงานที่รัฐสภาในวันนั้น เพราะเกรงว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะมาปิดล้อมอีก ซึ่งอาจทำให้องค์ประชุมไม่ครบ