หนังสือเล่มใหม่ล่าสุดโดย ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา วิเคราะห์การเป็นสมัยใหม่ (Modernity) ของไทยจากสี่มิติ คือ วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจและสังคม ข้าพเจ้าประทับใจกับการวิเคราะห์ของท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องแนวคิดการเป็นสมัยใหม่จากสมัย ร.5 จนถึงปี 2523 (น.117-150) ทั้งนี้ ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ได้นำข้อมูลใหม่ๆ จากงานเขียนงานค้นคว้าเล่มใหม่ๆ และบันทึกความทรงจำของบุคคลสำคัญมาประกอบการวิเคราะห์และตีความ
จะขอนำประเด็นหลักๆ มาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ โดยแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ช่วงดังที่ ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ได้นำเสนอ
แต่จะหยุดอยู่ที่ พ.ศ.2523
1.เส้นทางและแนวคิดการเป็นสมัยใหม่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
การวิเคราะห์ในส่วนนี้ ได้แบ่งช่วงสมัย ร.5 ร.6 และ ร.7 โดยละเอียดแต่เนื่องด้วยเนื้อที่จำกัด จะขอกล่าวโดยสรุป ณ ที่นี้
ในด้านวัฒนธรรมและสังคม รับเอาวิถีชีวิตแบบตะวันตกด้านวัตถุ เช่น การสวมเสื้อแบบฝรั่ง นั่งเก้าอี้ ใช้ช้อนส้อม การเลิกประเพณีหมอบคลาน
แต่ในเรื่องอุดมการณ์พื้นฐาน ยังยึดโยงกับจารีตเดิม คืออ้างอิงทุกอย่างในสังคมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังที่ตอนหนึ่งในราชประเพณีกรุงสยามประกาศว่า พระมหากษัตริย์ "เป็นที่เกิดแห่งยศถาบันดรศักดิ์" ในความเห็นของ อ.อรรถจักร "ปัจเจกชนนั้นไม่สามารถมีสถานภาพได้ด้วยตนเอง"
ร.6 ทรงพัฒนาอุดมการณ์ชาติ-กษัตริย์นิยม "ชาติไทย" ต้องมีประมุข "คือ พระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนศีรษะของอินทรี ชาติจะขาดเสียมิได้ เป็นศูนย์รวมที่ทำให้อินทรีเป็นเอกภาพ" นอกจากนี้"ชาติ"ยังโยงใยกับศาสนาพุทธ
สำหรับที่ทางของชาวจีนและชาวนา ร.6 ทรงเห็นว่าหากชาวจีน "จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม เขาจึงจะเป็นไทยแท้" สำหรับชาวนาควร "ตั้งจิตประพฤติตนให้เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอันประเสริฐ" มอบกายบอกยอมด้วยความเต็มใจว่า "ข้าเจ้าผู้เป็นไทยใจจงรักภักดี.........ขอพึ่งพระสมภาร ทุกวันวารขอเป็นข้า........ชีวิตไม่เสียดาย ทูลถวายเป็นพลี" ให้มีการ "ฝึกสอนกล่อมเกลา....ให้ได้รูปอย่างที่เรียกว่าเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอันดี"
ในทางเศรษฐกิจเส้นทางเป็นสมัยใหม่ก่อน 2475 ส่งเสริมทุนนิยมการค้า โยงกับการผลิตเกษตร แต่ไม่มีนโยบายเปลี่ยนสู่ระบบโรงงานอุตสาหกรรมที่กว้างขวาง งบประมาณรัฐมุ่งไปที่การรักษาความมั่นคงของประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อยและราชสำนัก งบการศึกษามีสัดส่วนร้อยละ 3 ของงบทั้งหมดของประเทศ (พ.ศ. 2438-2463)
ในทางการเมือง บทบาทรัฐเน้นไปที่การรวมศูนย์อำนาจไว้ที่กรุงเทพฯ รวมทั้งระบบภาษีอากร การรักษาความมั่นคง สำหรับส่วนภูมิภาคจัดตั้งระบบเทศาภิบาล ดร.ชัยอนันต์ มีความเห็นว่ารัฐบาลในสมัยนั้น "ยังไม่ได้นำมาพิจารณาให้ความสำคัญ...... [เรื่อง] การให้บริการแก่ประชาชน..........การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง โดยมีรัฐสภาและสิทธิเลือกตั้งทั่วไป"
ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ กล่าวถึงว่า "ร.7 ทรงคิดเรื่องการพระราชทานรัฐธรรมนูญ.....เป็นความคิดเฉพาะของพระองค์ท่าน แต่ทว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดหลักว่าด้วยระบอบการปกครองของประเทศ" ร่างรธน. ในสมัยนั้นคล้ายกับ รธน.เมจิของญี่ปุ่นที่ให้อำนาจจักรพรรดิมาก และเมื่อมีผู้ไม่เห็นด้วย ร.7 ก็ไม่ได้พระราชทาน รธน.
ทรงให้สัมภาษณ์ว่า ต้องให้ประชาชนเรียนรู้การเลือกตั้งและการมีเสียงในการปกครองระดับท้องถิ่นไปก่อน ในประเด็นนี้นั้นอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั้น (พ.ศ.2471-2479) บันทึกไว้ว่า "....ผู้เขียนมีความเห็นว่า รอไปอีกหนึ่งร้อยปีก็ไม่มีวันสำเร็จ"
โดยสรุป แนวคิดการเป็นสมัยใหม่ก่อน 2475 นั้นคือ ส่งเสริมทุนนิยมการค้า ใช้ประโยชน์จากความเจริญทางทางเทคโนโลยีตะวันตก ไม่มีความสนใจคิดค้นพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการก่อร่างสร้างอุตสาหกรรมระบบโรงงาน แต่รักษารัฐรวมศูนย์อำนาจ และวัฒนธรรมจารีตของศักดินาไว้อย่างแข็งขัน เชิดชูสังคมมีช่วงชั้น เป็นอัตลักษณ์ของความเป็นสังคมและวัฒนธรรมไทย
2.แนวคิดการเป็นสมัยใหม่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 จนถึงรัฐประหาร 2490
2475 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญด้านการเมือง ในการวิเคราะห์ของ ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ "อุดมการณ์ของ 2475 คือการเปลี่ยนระบบสังคม ล้มระบบศักดินา ก่อตั้งระบบใหม่.....และพยายามมุ่งสู่การสถาปนายุคศรีอารยะของราษฎร" ดังที่คณะราษฎรประกาศว่า "ประเทศเรานี้เป็นของราษฎรไม่ใช่ของกษัตริย์..."
คณะราษฎรเสนออุดมการณ์ประชาธิปไตยและไม่รับรัฐและวัฒนธรรมศักดินา
ในทางเศรษฐกิจ คณะราษฎรประกาศในเค้าโครงเศรษฐกิจ พ.ศ.2476 ต้องการให้กระจายอำนาจการปกครองและการจัดการเศรษฐกิจไปอยู่ที่ราษฎร โดย "แบ่งการประกอบเศรษฐกิจนี้เป็นสหกรณ์ต่างๆ" นายปรีดีมุ่งหวังให้ "ปรับปรุงการภาษีอากร พยายามเปลี่ยนระบบราชการเก่า....จัดให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ขึ้นกับกระทรวงการคลัง"
ในด้านวัฒนธรรม "นายปรีดีเห็นความสำคัญ...ของสถาบันชุมชนของประชาชน...มุ่งให้ตำบลเป็นองค์กรสังคมสมัยใหม่" การประกาศให้วันที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองคือ 24 มิถุนายนเป็นวันชาติ และให้วันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันพระราชทาน รธน.เป็นวันรัฐธรรมนูญ แสดงจิตสำนึกของการสถาปนาอีกสมัยหนึ่งที่เน้น "ความเสมอภาคระหว่างรัฐบาลหรือการปกครองกับประชาชน"
การยกเลิกพิธีกรรมที่ส่งเสริมอำนาจของกษัตริย์ เช่น พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ประเพณีการหมอบคลาน พระราชพิธีแรกนาขวัญ การยกเลิกบรรดาศักดิ์ คือการลดทอนสัญลักษณ์ของความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ประกาศว่า ทุกคนเสมอภาคกัน
การเพิ่มงบประมาณการศึกษาและสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อว่าคนทั่วไปจะมีโอกาสศึกษาระดับสูงภายใต้ระบบรัฐธรรมนูญ
แต่คณะราษฎรมีอำนาจอยู่เพียง 9 ปี อีกทั้งยังมีสงครามโลกครั้งที่สอง มาทำให้ความพยายามในการพัฒนาเศรษฐกิจ และการทำนุบำรุงประชาธิปไตยติดขัด
ที่สำคัญฝ่ายอนุรักษ์พยายาม "ดิสเครดิต" (discredit) 2475 ทำให้ 2475 ไม่น่าเชื่อถือ
การดีสเครดิตนี้ทำโดยให้เหตุผลว่า
1) พระมหากษัตริย์ประสงค์จะให้ประชาธิปไตยอยู่แล้ว แต่ทรงเห็นว่าราษฎรยังไม่พร้อม จึงจะรอให้พร้อม คณะราษฎรชิงตัดหน้าไปเสียก่อน
และ 2) ระบอบที่คณะราษฎรเสนอไม่ใช่ประชาธิปไตย โดยอ้างถึงพระดำรัสของ ร.7 เมื่อสละราชสมบัติ (พ.ศ.2477) ว่า ไม่ทรงยินยอมยกอำนาจให้ผู้ที่ใช้อำนาจโดยสิทธิขาดโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร
ในเรื่องนี้ ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ไม่เห็นด้วยกับเหตุผลที่นำมาอ้างทั้ง 2 ข้อ ข้อมูลที่มีอยู่ชี้ว่า ส่วนใหญ่ของชนชั้นนำไทยก่อน 2475 คิดว่าราษฎรไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง ทั้งๆ ที่แนวคิดและขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้มีขึ้นแล้วตั้งแต่เหตุการณ์ ร.ศ.103 (พ.ศ.2428) และร.ศ.130 (พ.ศ.2454) อุดมการณ์ของคณะราษฎรเป็นประชาธิปไตยและสืบเนื่องกับเหตุการณ์ก่อนหน้าทั้งสองนี้
สำหรับเหตุผลข้อที่ 2 ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ชี้ให้เห็นว่า "คำประกาศรัฐธรรมนูญ และปฏิบัติการสำคัญหลายประการ...[ทำให้เชื่อว่า] คณะราษฎรมีความบริสุทธิ์ใจที่ต้องการจะประดิษฐานหลักประชาธิปไตยของราษฎรให้ถาวรบนพื้นแผ่นดินไทย"
ในการประเมินคณะราษฎรนั้น ควรให้น้ำหนักกับหลักการและอุดมการณ์ของขบวนการ 2475 ที่มี "จุดประสงค์สร้างระบบสังคมและวัฒนธรรมที่ประชาชนมีเสรีภาพและความเสมอภาค ประชาชน...มีพื้นที่และเป็นผู้อำนวยการ
การที่รัฐบาลคณะราษฎรบางครั้งอาจใช้อำนาจเข็มงวดเป็นเรื่องที่ควรวิจารณ์ แต่ [ศ.ดร.ฉัตรทิพย์]เห็นว่าไม่เป็นสิ่งที่ลบล้างคุณูปการทางด้านอุดมการณ์ และหลักการของคณะฯ และการใช้อำนาจเข้มงวดมากขึ้น...นี้เกิดขึ้นหลังสงครามกลางเมืองกรณี "ขบวนการบวรเดช" พ.ศ.2476 และความพยายามอย่างรุนแรงที่จะฟื้นคืนอำนาจของคณะฝ่ายเจ้า"
3.รัฐประหาร 2490 จนถึงปี 2523
เหตุการณ์ในปี 2490 ยุติบทบาทของคณะราษฎรเป็นจุดหักเหสำคัญ โดยเป็นการหวนกลับไปสู่แนวคิดรับความเจริญทางวัตถุจากตะวันตก แต่คงไว้ซึ่งรัฐและวัฒนธรรมจารีตของระบบศักดินาแบบสมัยก่อน 2475
ข้อมูลใหม่จากเอกสารชิ้นใหม่ๆ (เช่น 1 ศตวรรษศุภสวัสดิ์ และงานค้นคว้าของ ดร.สรศักดิ์ ส.ต.อ.เฉียบ อ.ณัฐพล) ทำให้ ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ต้องประเมินรัฐประหาร 2490 ใหม่ โดยได้เปลี่ยนจากที่เคยคิดว่า เป็นการกระทำของทหารและเป็นจุดเริ่มก่อตัวของระบอบเผด็จการทหาร ความเข้าใจใหม่ คือ รัฐประหาร 2490 "มีวัตถุประสงค์ล้มล้างอำนาจของคณะราษฎร เป็นปฏิปักษ์ทางอุดมการณ์ต่อคณะราษฎร.....เป็นการใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นการใช้ประโยชน์จากความคับแค้นใจของทหารกลุ่มหนึ่ง ที่คิดว่าถูกรัฐบาลและคณะเสรีไทยกระทำ"
การกลับไปสู่ระบบจารีตนิยมแนวศักดินาก่อน 2475 ชัดเจนยิ่งขึ้น หลัง พ.ศ.2500 ในสมัยสฤษดิ์ ธนะรัชต์
หลัง 14 ตุลา 2516 รูปลักษณ์ของรัฐไทยปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ไม่ได้เปลี่ยนเส้นทางการเป็นสมัยใหม่ ดังที่งานของประจักษ์ ก้องกีรติ ได้ให้ภาพไว้อย่างดี
ความพยายามกลับไปสู่ระบบจารีตนิยมสะท้อนให้เห็นในทฤษฎีราชประชาสมาศัยของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซึ่งต้องการตอบโต้แนวคิด 2475 และปรับอุดมการณ์จารีตในสมัยที่แนวคิดประชาธิปไตยตะวันตกแพร่เข้ามาในหมู่ชนชั้นกลางและนักศึกษา คือ
"ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เสนอให้พระมหากษัตริย์กับประชาชนร่วมกันปกครองแผ่นดิน ให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการปกครองมากขึ้นกว่าในระบอบประชาธิปไตย และให้ประชาชนมีอำนาจในการปกครองมากขึ้นกว่าในระบอบประชาธิปไตยที่แล้วมา"
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์พยายามขยายความว่า "พระมหากษัตริย์หมายถึงเฉพาะพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ในฐานะบุคคล ไม่ได้หมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ทฤษฎีราชประชาสมาศัยในความหมายสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นการทั่วไป ก็ถูกอ้างถึงต่อมาและบางครั้งได้ถูกเสนอเป็นแนวทางของรัฐไทย"
ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ยอมรับว่า "พลังอนุรักษนิยมจารีตมีอำนาจมากในสังคมและวัฒนธรรมไทยตลอดมา และหลังช่วงทศวรรษของคณะราษฎร พลังนี้ได้ฟื้นคืน" แต่ก็ได้ชี้ให้เห็นด้วยว่า ร.7 "ทรงมีจิตใจแบบลิเบอรัล(liberal)......ในพระราชหัตถเลขาประกาศสละราชสมบัติ ได้ทรง ′เต็มใจที่จะสละอำนาจ....ให้แก่ราษฎร′.......ทรงเลือกที่จะรับข้อเสนอของคณะราษฎร ที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ แทนที่จะต่อสู้ด้วยอาวุธ ทั้งๆ ที่หากทรงเลือกที่จะสู้ยังมีโอกาสชนะอยู่ ทรงตัดสินใจดังกล่าว...ทรงรู้สึกว่า จะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ที่เปื้อนโลหิตไม่ได้ และหากจะทรงสละราชย์ทันที
′อาจจะมีการรบกันจนนองเลือดทั้งยุ่งยากต่างๆ...′"
ดังนั้นเมื่อพระมหากษัตริย์ (ร.7) ทรง "เต็มใจที่จะสละอำนาจ....ให้แก่ราษฎร" เราจึงจะต้อง "ให้ความสำคัญอย่างมากต่อพระประสงค์ รับระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ"
พลังอนุรักษนิยมจารีตที่พยายามฟื้นคืนจึงเป็น "ผู้เกินกว่าราชา" ดังที่นายปรีดีได้ตั้งข้อสังเกตไว้
ที่ข้าพเจ้าได้พยายามนำเสนอแบบรวบยอดนี้ เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของหนังสือ การเป็นสมัยใหม่กับแนวคิดชุมชน ของ ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ยังมีประเด็นและเรื่องราวด้านอื่นๆ เกี่ยวกับสำนักคิดและประสบการณ์ในหลายประเทศอีกมาก ขอแนะนำให้รีบหาอ่านโดยพลัน