ที่มา ประชาไท ประมวลภาพการอ่านบทกวีในงาน "มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูของเรา?" เมื่อ วันที่ 13 ส.ค. 2553 ที่ร้านหนังสือริมขอบฟ้า ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่ม Poet Live และเว็บไซต์ Thaipoetsociety.com จัดงานอ่านฟังบทกวีครั้งที่ 8 ในชื่อมนุษย์ไม่ใช่ศัตรูของเรา ซึ่งมีที่มาจากความต้องการเรียนรู้ ทำความเข้าใจและสะท้อนสังคมไทยหลังเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดินพฤษภาคมที่ผ่านมา จากสายตาของกวีและผู้เชื่อมั่นในพลังแห่งกวีนิพนธ์ ในการอ่านคำประกาศงานอ่านฟังบทกวี กฤช เหลือสมัย กล่าวถึงประวัติศาสตร์การเข่นฆ่ากันเองของมนุษย์ มันน่าแปลกประหลาดที่นักโบราณคดีบอกเราว่าเมื่อย้อนไปก่อนหน้านั้น 100,000 ปี มนุษย์ที่มีอาวุธเพียงหอกไม้ เครืองมือกินกระเทาะหน้าเดียวอันเทอะทะและด้อยประสิทธิภาพ กลับรวมตัวกันล่าสัตว์ขนาดใหญ่เช่นม้า ความป่า ช้างป่า หรือกระทั่งเสือ ได้อย่างไม่ยากเย็น "หรือว่าเมื่อปลอดจากภัยคุกคามที่เหนือกว่า เราต่างก็ละทิ้งมิตรไมตรี แล้วหันมาเป็นศัตรูกัน" กฤช กล่าว โดยกฤช ยังได้พูดถึงสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งมนุษย์แต่ละฝ่ายต่างประหัดประหารกัน โดยที่ไม่มีแนวคิด ปรัชญา หรือศาสตร์สาขาใดยับยั้งได้ จากนั้นก็พูดถึงกรณีเหตุรุนแรงเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. ที่ผ่านมา "ทุกครั้งที่ช่วงเวลาอันมือมนได้ผ่านพ้นไป จะปรากฏปัญหาใหม่ ๆ ยาก ๆ ท้าทายผู้ที่อยู่ร่วมกันให้ขบคิดใคร่ครวญอยู่เสมอ ตั้งแต่ว่าสิ่งที่เรียกว่าความเป็นกลางมีอยู่จริงหรือไม่ ปัญหาทางชนชั้นและการต่อสู้ทางชนชั้นจะคลี่คลายไปในทิศทางใด วัฒนธรรมการสยบยอมต่ออำนาจเบื้องบนโดยปราศจากความเชื่อมั่นในตนเองจะหมดไปหรือน้อยลงไปได้อย่างไร หรือกระทั่งคำถามสำคัญที่ว่าสันติวิธีมีน้ำยาแค่ไหนในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง สังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบัน ความรุนแรงและความเป็นศัตรูมาจากข้างนอกหรือข้างในตัวมนุษย์กันแน่" ช่วงที่ผ่านมานักคิดนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ก็พยายามค้นหาคำอธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น "คำถามสำคัญที่ควรถกถามในที่นี้ คือกวีทำอะไรบ้าง" กฤชกล่าว "เท่าที่ผ่านมาและจนกระทั่งปัจจุบัน เรากลับพบเห็นกวีไทยจำนวนไม่น้อยกลับเป็นผู้เรียกหาและสนับสนุนความรุนแรงเสียเองไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม" ผู้กล่าวเปิดบอกอีกว่า ในเวลานี้เราต้องการกวีนิพนธ์ที่ก้าวข้ามการแบ่งฝ่ายเพื่อโน้มนำให้เกิดความเข้าใจคนอื่น ฝ่ายอื่น ความคิดอื่น ที่แตกต่างจากเรา และกวีนิพนธ์ต้องคิดค้นวิธีการ องค์ความรู้แบบกวีนิพนธ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้สร้างสรรค์ตัวบท "ตัวบทที่ไปไกลกว่าการอธิบายความจริงเชิงประจักษ์ บอกลาการฟูมฟายอยู่แต่กับความสูญเสียหรือมุ่งแต่ก่นประณาม ตัวบทที่ไม่มัวเมากับการฝากความหวังในการเปลี่ยนแปลงสังคมไว้กับผู้อื่น" โดยในงานยังมีการอ่านบทกวีจากผู้เข้าร่วม 16 คน อาทิเช่น แก้วตา ธัมอิน, กฤช เหลือลมัย, ซะการีย์ยา อมตยา , หทัยสินธุ สินธุหทัย, โกสินทร์ ขาวงาม, ธิติ มีแต้ม, สมพงษ์ ทวี ฯลฯ
ในเวลานี้เราต้องการกวีนิพนธ์ที่่ก้าวข้ามการแบ่งฝ่ายเพื่อโน้มนำให้เกิดความเข้าใจคนอื่น ฝ่ายอื่น ความคิดอื่น ที่แตกต่างจากเรา และกวีนิพนธ์ต้องคิดค้นวิธีการ องค์ความรู้แบบกวีนิพนธ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้สร้างสรรค์ตัวบท "ตัวบทที่ไปไกลกว่าการอธิบายความจริงเชิงประจักษ์ บอกลาการฟูมฟายอยู่แต่กับความสูญเสียหรือมุ่งแต่ก่นประณาม ตัวบทที่ไม่มัวเมากับการฝากความหวังในการเปลี่ยนแปลงสังคมไว้กับผู้อื่น"