WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, July 8, 2011

กรรมการสิทธิด้วยกันใจไม่ด้านพอ ให้ระงับรายงานฉบับหมอชูชัย92ศพผิดสมควรตาย ไล่กลับไปเขียนใหม่

ที่มา Thai E-News


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
8 กรกฎาคม 2554

หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 8 กรกฎาคม ได้เปิดเผยเอกสาร ผลสอบ เมย.-19พค."ฉบับกสม. ซึ่งสร้างความกังขาให้กับสังคมอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้ชี้ว่าฝ่ายรัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด แต่ชี้ไว้หลายกรณีว่าผู้ชุมนุมผิดเอง แม้กระทั่งเรื่องเจาะเลือดก็ยังผิด
นายแพทย์ชูชัย ศุภวงศ์

อย่าง ไรก็ตามจากการตรวจสอบของไทยอีนิวส์พบว่า รายงานฉบับนี้ เป็นฉบับที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังไม่รับรอง ทั้งนี้เมื่อวานนี้(7ก.ค.) เวบไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อ้างรายงานข่าวมติชน ในหัวข้อเรื่อง กสม.เลื่อนแถลงผลสอบสลายนปช. ดังนี้

เมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ต้องขอโทษสื่อมวลชนที่ไม่สามารถเปิดเผยรายงานตรวจสอบกรณีเหตุการณ์การชุมนุม กลุ่ม นปช.ในวัน 8 กรกฎาคม ตามที่เคยให้ข่าวก่อนหน้านี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กสม. และได้ข้อสรุปตรงกันว่าการประชุม กสม.ในวันที่ 6 กรกฎาคม น่าจะเป็นการพิจารณารายงานครั้งสุดท้าย สามารถเสนอต่อสาธารณะได้ในวันที่ 8 กรกฎาคม

ทั้งนี้เนื่องจากกรรมการบางรายเห็นว่ามีประเด็นอื่นๆ ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากการประชุมครั้งที่แล้ว และที่ประชุมกสม.เห็นว่าควรพิจารณาให้ครบถ้วน เงื่อนไขเวลาในการเปิดเผยรายงานที่ขยายออกไปอีกไม่น่าจะเป็นปัญหาใดๆ เมื่อถามว่า มีปัญหาการเมืองใน กสม.ของกรรมการหรือไม่นพ.ชูชัยกล่าวว่า เชื่อว่าไม่น่าจะมีและไม่ควรจะมี

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการประชุมกรรมการ กสม.เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมากรรมการหลายคนต่างมีความเห็นขัดแย้งกรณีการเปิดเผยรายงานการตรวจ สอบเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. โดยกรรมการบางส่วนเห็นว่าผลการสอบสวนที่ทำขึ้นมานี้ดำเนินการโดยสำนักงาน กสม.ที่มี นพ.ชูชัยเป็นประธานเท่านั้น ขณะที่กรรมการบางคนซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการในเรื่อง ดังกล่าวกลับแทบไม่มีส่วนรับรู้ในรายงานชิ้นนี้เลย ดังนั้นจึงขอให้เลื่อนการแถลงข่าวออกไปก่อน--จบ--

รายงานที่ข่าวสดนำเสนอเผยแพร่ในวันนี้ ระบุรายละเอียดดังต่อไปนี้

น.พ.ชู ชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะประธานคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐานกรณีเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นจากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่ง ชาติ(นปช.) ได้รายงานผลการศึกษาผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มนปช. ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.2553 - 19 พ.ค.2553 ต่อที่ประชุมกสม. เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา

ในรายงานมีความยาว 80 หน้า กำหนดการตรวจสอบไว้ 9 กรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 เหตุการณ์การสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติหน้าที่และผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553

ผล การสอบสวนได้ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.2553 นปช.ได้ปลุกระดมมวลชนนัดชุมนุมเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาหรือลาออก บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถ.ราชดำเนิน และเคลื่อนขบวนปิดล้อมสถานที่สำคัญ ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และมีลักษณะยืดเยื้อยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ต่อมานายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551

วัน ที่ 17 มี.ค. นปช.ได้เจาะเลือดและนำไปเทและขว้างใส่บ้านพักส่วนตัวนายกฯ และวันที่ 21 มี.ค. สถานการณ์ตึงเครียดลดลง นำไปสู่การเจรจา ที่สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถ.แจ้งวัฒนะ แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ และเหตุการณ์ได้ขยายกว้างขึ้น

วันที่ 7 เม.ย. นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และกลุ่มนปช. ได้ปิดล้อมอาคารรัฐสภา ต่อมารัฐบาลมีคำสั่งปิดระบบสัญญาณสถานีโทรทัศน์พีทีวี ทำให้สถานการณ์เริ่มมีความรุนแรง กระทั่งวันที่ 10 เม.ย. รัฐบาลได้ประกาศขอคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนิน และเกิดการปะทะกันจนมีประชาชนเสียชีวิต 27 ราย บาดเจ็บ 889 คน

ใน รายงานระบุว่า ข้อเท็จจริงจากการให้การของพยานบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 28 ราย นปช. 54 ราย ผู้ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมแต่อยู่ในเหตุการณ์ 26 ราย รวมทั้งพยานเอกสาร เช่น ข้อเท็จจริงจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทำให้ฟัง ได้ว่า

1.1 ผู้ชุมนุม การชุมนุมของกลุ่มนปช. ซึ่งชุมนุมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมี.ค. - 10 เม.ย. ได้ปิดกั้นการจราจร ทั้งที่ถนนราชดำเนิน และสี่แยกราชประสงค์ ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเกิน สมควร และกระทบต่อสิทธิ์ของคนอื่นในการใช้ชีวิตโดยปกติ และถือเป็นการกระทำที่เกินไปกว่าการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ

แม้ในเบื้องต้นการชุมนุมเป็นไปโดยสงบ แต่วันที่ 10 เม.ย. การที่รัฐบาลขอคืนพื้นที่ ปรากฏ ข้อเท็จจริงว่ากลุ่มนปช.ได้มีการต่อต้านและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ ทั้งมีกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธปะปนอยู่กับผู้ชุมนุม อันถือว่าเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนที่มีอาวุธและมีลักษณะเป็นกระบวนการที่พร้อม ใช้อาวุธและความรุนแรงได้ตลอดเวลา ดังนั้น การชุมนุมดังกล่าวจึงมิใช่การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ

1.2 รัฐบาล การขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เม.ย. เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ประชาชนทั่วไป ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการตามมาตรการที่ประกาศไว้ก่อนจริง กระทำจากเบาไปหาหนัก จึงเป็นการกระทำภายใต้กฎหมายที่ให้อำนาจไว้ แม้ มีการกระทำที่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บต่อผู้ชุมนุมทั้งการใช้กระบอง แก๊สน้ำตา กระสุนยาง แต่เมื่อพิจารณาย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับฝ่ายผู้ชุมนุมที่มีอาวุธและผู้สนับสนุนที่มีอาวุธ สงคราม

การขอคืนพื้นที่ของรัฐบาลในครั้งนี้ ยังขาดการวางแผนที่ดี ทั้งเชิงรุกและรับ การข่าวที่ไร้ประสิทธิภาพและการใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสม ไม่ ได้สัดส่วนกับการกระทำของฝ่ายผู้ชุมนุมที่ใช้ความรุนแรงและมีอาวุธร้ายแรง ทำให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจำนวนมาก ซึ่งการที่รัฐบาลไม่สามารถวางแผนหรือบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์อย่างมี ประสิทธิภาพเพื่อปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นเหตุให้ประชาชนและผู้ชุมนุมเสียชีวิต รัฐบาลต้องรับผิดชอบในการชดใช้เยียวยาความเสียหาย

นอกจากนี้เหตุระเบิดในที่ประชุมนายทหารโดยการเข้าเป้าด้วยแสงเลเซอร์ แสดง ให้เห็นว่ามีการวางแผนเพื่อฆาตกรรมนายทหาร ได้แก่ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และส.ท.ภูริวัฒน์ ประพันธ์ อันเป็นการกระทำที่แฝงอยู่ในเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารกับกลุ่มชายฉกรรจ์ จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งรัฐบาลต้องสืบสวนหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ

กรณีที่ 2 เหตุการณ์กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากระเบิดเอ็ม 79 บริเวณแยกศาลาแดง เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2553

จากการสอบถามพยานบุคคลที่อยู่ในที่เกิดเหตุ 21 ราย และพยานเอกสาร สรุป ว่าการชุมนุมของนปช.เป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ มีการใช้ความรุนแรงโดยระเบิดเอ็ม 79 ทั้ง 5 ลูกถูกยิงมาจากทิศทางที่กลุ่มนปช.ชุมนุม โดยมีแกนนำรับรู้ล่วงหน้า มีการ เตรียมการระวังป้องกันมิให้ผู้ชุมนุม นปช.ได้รับบาดเจ็บ มีการวางแผนจุดพลุตะไลและประทัดเพื่อบิดเบือนการยิงระเบิดเอ็ม 79 ขณะที่รัฐบาลมอบให้ตำรวจเข้ามาแก้ไขสถานการณ์

แต่ จากพยานหลักฐาน นอกจากตำรวจจะนำรถควบคุมผู้ต้องหามากั้นบริเวณสี่แยกศาลาแดงแล้ว มิได้ดำเนินการอื่นใดให้เหตุการณ์สงบ นอกจากนี้เวลา 21.45 น. ตำรวจได้ออกมาจากโรงแรมดุสิตธานี โดยตั้งแถวหน้ากระดานและเปิดไฟสว่างใส่กลุ่มวัยรุ่นบนถนนสีลมที่ขว้างปาขวด ใส่ผู้ชุมนุม นปช. และไล่ตีกลุ่มวัยรุ่น รวมถึงประชาชนที่ไม่รู้เรื่องโดยไม่มีการประกาศเตือน การกระทำดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิมนุษยชน

กรณีที่ 3 เหตุการณ์กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2553

คณะกรรมการเห็นว่า การ ที่มีทหารเสียชีวิตจากอาวุธปืน ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนทั่วไปและทหารที่เสียชีวิต แต่ ไม่สามารถระบุได้ว่าฝ่ายใดเป็นผู้กระทำ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพได้ให้ข้อมูลว่า ทหารที่เสียชีวิตถูกยิงจากระยะไกลเนื่องจากไม่พบคราบเขม่า ดังนั้น รัฐบาลต้องมีหน้าที่นำคนผิดมาลงโทษ

กรณีที่ 4 เหตุการณ์กรณีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาดไทย และการบุกเข้าไปตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาฯ เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2553

คณะ กรรมการเห็นว่า กลุ่มนปช.ได้ขยายพื้นที่การชุมนุม จากสี่แยกราชประสงค์ มาถึงโรงพยาบาลจุฬาฯ และการชุมนุมมีการจัดตั้งถังแก๊สหน้าโรงพยาบาล จนต้องย้ายผู้ป่วย ถือเป็นการกระทำที่กระทบสิทธิ์ของผู้ป่วย รวมทั้งแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนการเข้าไปตรวจค้นในโรงพยาบาลจุฬาฯ นั้น เข้าข่ายบุกรุกและเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ มีการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น ทำลายทรัพย์สินของโรงพยาบาล

กรณี ที่ 5 เหตุการณ์กรณีการสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมระหว่างวันที่ 13-19 พ.ค.2553 รวมทั้งเหตุการณ์ต่อเนื่อง เช่น การเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ และอาคารต่างๆ

คณะกรรมการเห็นว่าการ ชุมนุมของ นปช. เป็นการชุมนุมที่ไม่สงบและมีอาวุธปืนอยู่ในสถานที่ชุมนุม มีกลุ่มบุคคลติดอาวุธแฝงตัวอยู่ในกลุ่มชุมนุมส่งผลต่อความมั่นคงภายในประเทศ

ส่วนมาตรการกระชับพื้นที่สี่แยกราชประสงค์และบริเวณโดยรอบ ตั้งแต่วันที่ 13-19 พ.ค.2553 ตามประกาศของศอฉ.นั้น เห็นว่าเป็นกรณีที่รัฐบาลกำหนดขึ้นโดยความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ของพระราช กำหนดดังกล่าว แต่มาตรการดังกล่าวได้ส่งผลกระทบถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมีผู้เสียชีวิต 57 ราย และบาดเจ็บ 437 คน

แม้ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย แต่เมื่อปรากฏกรณีเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย จากการยิงปะทะกันระหว่างทหารและกลุ่มผู้ติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในนปช. ผลที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งย่อมเป็นไปได้ว่ามาจากการกระทำของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหาร รัฐบาลจึงมีหน้าที่รับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียหาย และต้องสืบสวนหาผู้กระทำผิดมาลงโทษ

ส่วนพฤติการณ์การกระทำของฝ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมในการเผาอาคารทรัพย์สิน ขยายไปถึงการเผาศาลากลางในหลายจังหวัด เห็นได้ว่าเป็นการก่อให้เกิดความวุ่นวายและไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นและกระทำผิดกฎหมายอาญา

กรณีที่ 6 การเสียชีวิต 6 ศพและการกระทำในรูปแบบอื่นๆ ในวัดปทุมวนาราม ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ค.2553

คณะ กรรมการพิจารณาเห็นว่า รัฐบาลโดย ศอฉ.ได้ปฏิบัติการกดดันกระชับพื้นที่อย่างจริงจังมาตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. จนเกิดสถานการณ์การยิงปะทะในบริเวณพื้นที่ชุมนุมและพื้นที่โดยรอบ ในสภาพที่บ้านเมืองวุ่นวาย ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิต 6 ศพและบาดเจ็บ 7 คน ในวัดปทุมฯ

การรวบรวมหลักฐานในชั้นนี้ ไม่มีพยานยืนยันว่าใคร ฝ่ายใดเป็นผู้ยิงทั้ง 6 ศพและผู้เสียชีวิตบางรายเป็นการเสียชีวิตนอกวัด บางศพไม่รู้ว่าเสียชีวิตบริเวณ ใด แต่ทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายมาไว้ในวัด ซึ่ง กรณีที่เกิดขึ้นรัฐบาลไม่อาจปฏิเสธการเยียวยาชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น และควรสืบสวนหาข้อเท็จจริงและหาผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกระบวนการ ยุติธรรม

กรณีที่ 7 เหตุการณ์กรณีนายกฯประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเมื่อวันที่ 7 เม.ย.2553 และการดำเนินการเพื่อระงับการออกอากาศสถานีโทรทัศน์ พีเพิลชาแนล และการระงับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสถานีวิทยุชุมชน

คณะ กรรมการพิจารณาเห็นว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวมีเจตนาให้อำนาจแก่นายกฯ โดยผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี การที่นายกฯใช้มาตรการดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายและ เป็นความจำเป็นเหมาะสมในสถานการณ์ความรุนแรง และไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

กรณี ที่ 8 เหตุการณ์กรณีชุมนุมและการเคลื่อนขบวนของกลุ่มนปช. ระหว่างวันที่ 12 มี.ค. - 20 พ.ค.2553 ทั่วกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวมถึงการล้อมอาคารสถานที่ต่างๆ

คณะกรรมการพิจารณาแล้วแยกเป็น 2 กรณี 1.การเคลื่อนไหวของ นปช.ทั่วกทม.และปริมณฑลในลักษณะขบวนรถยนต์และจักรยานยนต์นับพันคัน รวมทั้งมีเครื่องขยายเสียงกว่า 10 คัน เป็นการกระทำให้เกิดการจราจรติดขัดไปทั่วกทม. และเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2553 ยังปรากฏว่านปช.ได้ทำร้ายคนขับแท็กซี่และทุบกระจกรถจนแตก เป็นการละเมิดสิทธิ์ในร่างกายและทรัพย์สิน

2.กรณี ที่ นปช.เจาะเลือดของผู้ชุมนุมและนำไปเทที่พรรคประชาธิปัตย์และทำเนียบรัฐบาล การเจาะเลือดนั้น เป็นการกระทำของแพทย์และพยาบาลนั้น เป็นการกระทำผิดต่อวิชาชีพตนเองและละเมิดต่อผู้ที่รับการเจาะเลือดอีกด้วยแม้เจ้าตัวยินยอม และการนำไปเทที่พรรคประชาธิปัตย์ถือว่าละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น

กรณีที่ 9 การเสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนความรุนแรงต่อสื่อมวลชนในรูปแบบอื่น

คณะ กรรมการฯ พิจารณาว่าผลการเสียชีวิตและบาดเจ็บของสื่อมวลชนเกิดขึ้นจากการยิงปะทะ ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ และกลุ่มบุคคลผู้ติดอาวุธแฝงในกลุ่มผู้ชุมนุม แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผู้ใดเป็นผู้ยิง และกลุ่มที่ติดอาวุธแฝงเป็นใคร ดังนั้น รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบจึงมีหน้าที่เยียวยาช่วยเหลือ ครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

กสม. ยังได้ทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหาไว้ 7 ข้อ อาทิ ให้รัฐบาลสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงและติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ การสังเคราะห์บทเรียนจากความขัดแย้ง เป็นต้น

***********
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:ตายเจ็บถูกจับยังไม่พอ กก.สิทธิฯตามฟ้องเสื้อแดง! บทบาทสำนักงานคณะกรรมการสิทธิฯหลัง19พ.ค.หมาดๆ

คณะ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไม่ได้มีท่าทีใดๆต่อการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ได้เปิดรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของ คนเสื้อแดง และจะปกป้องสิทธิให้ด้วยการจะฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมแทนผู้ที่ได้รับ ความเสียหาย

พลตำรวจเอก วันชัย ศรีนวลนัด ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรม คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวทางเวบไซต์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เมื่อวานนี้( 25 พ.ค.)ในหัวข้อเรื่อง คำแถลงของคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังนี้

ตาม ที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 เพื่อแจ้งให้สาธารณชนทั่วไปทราบว่า หากประชาชนผู้ใด มีข้อมูล หรือข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน อันเกิดจากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม นปช. ก็ขอให้แจ้งไปยังสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการตรวจสอบในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการ ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน นั้น

บัดนี้ สถานการณ์ชุมนุมดังกล่าวได้ยุติลง และคาดหวังว่า ความสงบเรียบร้อยของสังคมกำลังก้าวกลับคืนสู่ภาวะปกติในเร็ววัน แต่อย่างไรก็ดีผลจากเหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สินจำนวนมาก ทั้งของภาคราชการและเอกชน ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด นอกเหนือจากความเสียทางด้านเศรษฐกิจโดยรวมของชาติจำนวนมากมายมหาศาล ดังปรากฎเห็นชัดตามคำแถลงของรัฐบาล และตามที่สื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ได้เสนอข่าวอย่างต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งความเสียหายเหล่านี้จะต้องได้รับการดูแล รักษา เยียวยาอย่างเหมาะสม ทั้งจากภาครัฐ และจากผู้กระทำผิดที่ละเมิดฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์และเคราะห์ร้ายเหล่านั้น ได้กลับคืนสู่สภาพเดิมมากที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว อันเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

คณะอนุกรรมการสิทธิ มนุษยชนแห่งชาติ ด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีความตระหนักในบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๕๗ (๔) ได้บัญญัติให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหายเมื่อได้รับการร้องขอจากผู้เสียหาย และเป็นกรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม

ดัง นั้น เพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้เคราะห์ร้ายดังกล่าว คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงเรียนขอแจ้งให้ประชาชนทั่วไปทราบว่า ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์การชุมนุมตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น สามารถใช้สิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้พิจารณาดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดต่อไป โดยขอให้แจ้งข้อเท็จจริง พฤติการณ์ที่เกิดขึ้น และความเสียหายที่ได้รับ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ