WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, July 8, 2011

พรรคประชาธิปัตย์ต้องทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง

ที่มา ประชาไท

ทำไม ความเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุด มีความเป็นสถาบันทางการเมืองมากที่สุด มีสมาชิกพรรคที่ดูดีมีคุณภาพที่สุด (อย่างน้อยในสายตาคนกรุงเทพฯ คนภาคใต้ที่ว่ากันว่ามีความตื่นตัวทางการเมืองสูงกว่าภาคอื่น) จึงไม่ได้ช่วยให้ประชาธิปัตย์เอาชนะคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยได้ ทั้งที่พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ คุณทักษิณเองก็เป็นนักการเมืองหน้าใหม่เมื่อเทียบกับคุณอภิสิทธิ์ และขนาดคุณทักษิณกลับเข้าประเทศไม่ได้ แค่ส่งคุณยิ่งลักษณ์ที่ไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อนเลยลงต่อสู้ก็ทำให้คุณ อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์แพ้อย่างหมดรูป
ผมคิด ว่าหากประชาธิปัตย์ไม่ยอมทบทวนตัวเองอย่างตรงไปตรงมา และอย่างจริงจังในประเด็นหลักๆ (อย่างน้อย) ต่อไปนี้ ประชาธิปัตย์ก็จะกลายเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านตลอดไป
1.ตามไม่ทันการแข่งขันเชิงนโยบายและความเป็นนักบริหารแบบมืออาชีพ จะ เห็นว่าการแข่งขันเชิงนโยบายและนักบริหารมืออาชีพ คือยุทธศาสตร์หลักในการหาเสียงของคุณทักษิณตั้งแต่เขาลงเลือกตั้งได้เป็น รัฐบาลสมัยแรก ทำให้นโยบายและความเป็นนักบริหารของพรรคประชาธิปัตย์ตกเป็นรองในทันที แม้ต่อมาจะพยายามแข่งนโยบาย วิสัยทัศน์ สร้างภาพลักษณ์นักการเมืองรุ่นใหม่อย่างคุณอภิสิทธิ์ แต่ก็ยังตามไม่ทันคุณทักษิณ โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ยิ่งสะท้อนให้เห็นความอ่อนด้อยทางนโยบาย ภาวะผู้นำ และความเป็นนักบริหารมืออาชีพอย่างชัดเจน
ประ ชาธิปัตย์อาจต้องกลับไปทบทวนเรื่องนโยบายอย่างหนัก และต้องสามารถสร้างนโยบายก้าวหน้า ขึ้นมาแข่ง เช่น ไปทำนโยบาย “รัฐสวัสดิการ” ให้เห็นเป้าหมายที่ชัดเจน และมีขั้นตอนการดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม
ส่วน นักบริหารมืออาชีพอาจต้องดึงคนเก่งเข้ามาในพรรค ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่ออย่างคุณชวน หลีกภัย ที่ว่า “ความเป็นนักการเมืองมืออาชีพ จะทำให้บริหารประเทศได้อย่างมืออาชีพ” เพราะนักการเมืองมืออาชีพอย่างสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มีมากแล้ว แต่นักการเมืองมืออาชีพเหล่านั้น (แม้แต่คุณชวน) ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักบริหารมืออาชีพเทียบเท่าคุณทักษิณได้เลย
2. ความไม่ซื่อสัตย์ต่อหลักการประชาธิปไตย ประ ชาธิปัตย์โจมตีคู่แข่งว่าไม่ซื่อสัตย์ในความหมายของการทุจริตคอร์รัปชัน ซื้อเสียง กระทั่ง “ใช้เงินซื้อประเทศ” ฯลฯ แต่ในความขัดแย้งกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ประชาชนได้มองเห็นแล้วว่า (ยืนยันโดยผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา) ความไม่ซื่อสัตย์ที่ก่อความเสียหายแก่ประเทศมากยิ่งกว่าการโกง คือ “ความไม่ซื่อสัตย์ต่อหลักการ”
ประชาธิปัตย์อ้าง หลักการเสมอ แต่กลับไม่ซื่อสัตย์ต่อหลักการ เช่น อ้างหลักการตรวจสอบจนกระทั่งไปขอเสียง ส.ส.จากพรรคไทยรักไทยเพื่อเปิดอภิปรายคุณทักษิณ ซึ่งถ้าอภิปรายแล้วทำให้สังคมเชื่อว่าคุณทักษิณมีความผิดตามข้อกล่าวหาจริง ผลของการอภิปรายก็คือคุณทักษิณลาออกหรือยุบสภา คุณทักษิณไม่ให้ เสียง ส.ส.ของเขาไปสนับสนุนให้ประชาธิปัตย์เปิดอภิปราย แต่ตัดสินใจยุบสภาไปเลย ซึ่งเท่ากับลงโทษตัวเองในทางการเมืองไปแล้ว
แต่ เมื่อประกาศเลือกตั้งใหม่ให้ทุกพรรคการเมืองต่อสู้ตามกติกา ประชาธิปไตย ประชาธิปัตย์กลับบอยคอตการเลือกตั้งและชวนพรรคอื่นให้บอยคอตด้วย ต่อมาเมื่อการเลือกตั้งครั้งนั้นถูกตัดสินให้เป็นโมฆะ คุณทักษิณเสนอให้เลือกตั้งใหม่ คุณอภิสิทธิ์กลับเสนอ มาตรา 7
มัน จึงเป็นการสะท้อน “ความไม่ซื่อสัตย์ต่อหลักการ” ซึ่งในที่สุดมันเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปัญหาการเมืองไม่ สามารถหาทางออกได้โดยกระบวนการประชาธิปไตย จนนำไปสู่การสนับสนุนให้ใช้วิธีการรัฐประหาร 19 กันยา 49
เมื่อ เกิดรัฐประหาร 19 กันยา 49 ประชาธิปัตย์บอกว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร แต่ต่อมากลับตั้งรัฐบาลภายใต้การสนับสนุนของเครือข่ายรัฐประหาร โดยกองทัพและอำมาตย์ นี่คือความไม่ซื่อสัตย์ต่อหลักการประชาธิปไตยที่ทำให้เครือข่ายรัฐประหาร กระชับอำนาจของฝ่ายตนเอาไว้ได้อย่างหนาแน่นจนเป็นอุปสรรคที่ยากยิ่งต่อ “การเปลี่ยนผ่าน” สังคมสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่ยืนยันหลักเสรีภาพและความเสมอภาคที่แท้จริง
นอก จากนี้ ประชาธิปัตย์ยังคัดค้านการนิรโทษกรรมคุณทักษิณด้วยการอ้างหลักนิติรัฐ และนิติธรรม ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ขัดแย้งในตัวเองอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเมื่อคุณบอกว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารแต่กลับยอมรับกระบวนการเอาผิด โดยรัฐประหาร เท่ากับยอมรับว่ารัฐประหารสร้างหลักนิติรัฐ นิติธรรมขึ้นมาได้
หรือ การค้านนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหารและถูก ใช้กลไกรัฐประหารเอาผิด ก็เท่ากับคุณกำลังปกป้องหลักนิติรัฐ นิติธรรมของรัฐประหาร ทั้งที่คุณบอกว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร นี่คือ “ความไม่ซื่อสัตย์ต่อหลักการ” ที่สะท้อนวุฒิภาวะทางประชาธิปไตยของพรรคการเมืองเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์!
3. การไม่แสดงความรับผิดชอบต่อการฆ่า 91 ศพ โดย พยายามอธิบายแบบ “ลอยตัวเหนือปัญหา” ว่าฝ่ายตนไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ไม่ใช่เงื่อนของความแตกแยก เป็นเพียงผู้รักษากฎหมายและอาสามานำพาประเทศก้าวไปข้างหน้า
แต่ ความจริงก็คือ เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดีที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสั่งสลายการ ชุมนุมของประชาชนที่มาขอการเลือกตั้งด้วย “กระสุนจริง” เป็นเรื่องไร้เหตุผลสิ้นดีที่จะรักษากฎหมายด้วยการสังหารประชาชนที่มาขอการ เลือกตั้ง แม้คุณจะไม่เห็นด้วยที่คนเสื้อแดง “สู้เพื่อทักษิณ” เท่านั้น (ตามข้อกล่าวหาของคุณ) แต่คุณก็ต้องเคารพแนวทางการต่อสู้ของพวกเขาที่ขอต่อสู้บนเวทีการเลือกตั้ง ตาม “วิถีทางประชาธิปไตย” เท่านั้น ด้วยแนวทางการต่อสู้เช่นนี้ไม่ว่าจะคิดด้วยเหตุผลในแง่มุมใดๆ มันไม่ควรจะถูกตอบโต้ด้วยลูกปืน
ฉะนั้น การสลายการชุมนุมด้วยกระสุนจริงมันจึงเป็นนโยบายที่ผิดพลาดที่รัฐบาลต้องรับ ผิดชอบ แต่ประชาธิปัตย์นอกจากลอยตัวไม่รับผิดชอบใดๆ แล้วยังกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นขบวนการก่อการร้าย ล้มเจ้า และฆ่ากันเอง สะท้อนถึงพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชน อย่างชัดเจน ซึ่งไม่น่าจะเป็นพฤติกรรมของพรรคการเมืองเก่าแก่ของประเทศที่ประกาศว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
จากรัฐประหาร 49 มันมาถึง 91 ศพ ได้อย่างไร? หากประชาธิปัตย์ไม่ทบทวนตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่าควรมีส่วนรับผิดชอบต่อ เรื่องนี้อย่างไร ก็เท่ากับประชาธิปัตย์ได้กลายเป็นพรรคการเมืองที่อยู่ตรงกันข้ามกับประชาชน ที่เรียกร้องประชาธิปไตยตลอดไป
หากประชาธิปัตย์ไม่ ทบทวนตัวเองอย่างหนักในปัญหาหลักๆ อย่างน้อย 3 เรื่องดังกล่าวนี้ คงยากยิ่งที่จะพลิกฟื้นกลับมาเป็นคู่แข่งที่เทียบเท่ากับพรรคเพื่อไทยได้ ยกเว้นว่าในอนาคตพรรคเพื่อไทยอ่อนแอ เพลี่ยงพล้ำต่ออำนาจนอกระบบ หรือไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสังคมสู่ ความเป็นประชาธิปไตย แตกกันเอง หรือแพ้ภัยตนเอง
แต่ หากประชาธิปัตย์จะกลับมาชนะพรรคเพื่อไทยได้อีกเพียงเฉพาะเมื่อเวลา ที่พรรคเพื่อไทยอ่อนแอ หรือถูกทำให้อ่อนแอเท่านั้น ชัยชนะเช่นนั้นก็คงไม่มีคุณค่าอะไรต่อประเทศและพรรคประชาธิปัตย์เอง
มัน จะเป็นเพียงชัยชนะที่สะท้อนความล้มเหลวของพรรคประชาธิปัตย์ และความพ่ายแพ้ของประเทศ เหมือนชัยชนะในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เพิ่งผ่านมา ซึ่งกลายเป็น “ตราบาป” ตลอดไป!