ที่มา มติชน
โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ถ้า ไม่มีการ "สับขาหลอก" ครั้งใหญ่แห่งศตวรรษของการเมืองไทยแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สตรีผู้ซึ่งเราเพิ่งรู้จักดีไม่ถึง 60 วัน ก็จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยในฐานะคนไทยเราก็มีสิทธิจะขอ เห็นบางสิ่งจากเธอ (ท่าน) โดยมิบังอาจบอกให้ทำอะไรตามที่เราต้องการได้
อย่าง แรกที่อยากเห็นก็คือการสร้างความเชื่อมั่นในประเทศไทยของสาธารณชนทั้งใน ประเทศและต่างประเทศอย่างรวดเร็วด้วยการไม่ทำสิ่งต่อไปนี้
(ก) การนิรโทษกรรมพี่ชายและ/หรือพลพรรค ถึงแม้จะบอกว่า "ไม่มีการนิรโทษกรรมเพื่อคนคนเดียวเด็ดขาดค่ะ" แต่ผู้คนก็ระแวงว่าจะรักษาคำพูดจริงแต่เป็นนิรโทษกรรมหมู่ โดยมีพี่ชาย (แอบ) แฝงอยู่ด้วย
พรรคเพื่อไทยรู้ดีว่าประเด็นนี้ร้อน จึงเลี่ยงกลยุทธ์จากไม่ตอบชัดเรื่องนิรโทษกรรมและ "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ในตอนต้นการหาเสียงเป็นระบุชัดว่าไม่มีนิรโทษกรรม มีแต่ปรองดอง ("ผมจะไม่ทำอะไรให้บ้านเมืองเดือดร้อนเป็นอันขาด ผมไม่แค้นใคร ตัวผมไม่สำคัญเท่าชาติ")
ความพยายามที่จะนิรโทษกรรมจะนำไปสู่ความ ยุ่งยาก เพราะเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด (ศาลากลางถูกเผาในอีสาน เช่น อุบลฯ อุดรฯ มุกดาหาร ขอนแก่น ฯลฯ) ไม่ต้องการ มิฉะนั้นพรรคเพื่อไทยคงโหมประเด็นนี้ไปนานแล้ว ความยุ่งยากนั้นก็คือการเกิดการประท้วงต่อต้านอย่างกว้างขวางอย่างค่อนข้าง แน่นอน ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะควักกลวิธีการตลาดออกมาใช้และรอเวลาอันเหมาะสมอย่างไร ก็ตาม เรื่องนี้ผู้คนรู้ทันและเตรียมตัวต่อต้านกันอยู่
เหตุผลที่การนิรโทษกรรมกระทบความเชื่อมั่นประเทศไทยก็เพราะคาดเดาได้ว่าเกิดความวุ่นวายขึ้นในอนาคตอันใกล้
(ข) การไม่ทำตามคำสัญญาของพรรคเพื่อไทยที่ได้ประกาศไว้เป็นอันขาดในบางเรื่อง เช่น แจกแท็บเบล็ตให้เด็กประถมหนึ่งทุกคน ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททันที ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดจากร้อยละ 30 เป็น 23 และต่อไป 20 จำนำข้าวตันละ 15,000 บาท และถ้าเป็นข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท เงินเดือนคนจบปริญญาตรี 15,000 บาท
ถ้าแจกแท็บเบล็ตไม่ว่าจะเป็น iPad หรือของยี่ห้ออื่นจำนวน 700,000-800,000 เครื่อง (ใช้เงิน 10,000-20,000 ล้านบาท) ก็จะเป็นข่าวระดับโลก เด็กส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดไม่อาจรับสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้ในระยะเวลาอันใกล้ ใช้ไม่เป็นเพราะครูก็ไม่รู้จัก ก็จะกลายเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ แท็บเบล็ตจะขาดตลาดโลกชั่วคราวแต่จะมีขายมือสองที่บ้านเรานับแสนเครื่อง
ถ้า ค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นถึง 300 บาททันที ธุรกิจใหญ่น้อยรวมทั้งภาคครัวเรือนก็จะเดือดร้อน เพราะต้นทุนค่าครองชีพสูงขึ้น จากทั้งแรงผลักดันต้นทุนอันเกิดจากน้ำมันมีราคาสูงขึ้น และแรงผลักดันอำนาจซื้ออันเกิดจากค่าแรงสูงขึ้น จนต้องมีการปรับค่าจ้างครั้งใหญ่ตามระดับอ้างอิงใหม่ของค่าจ้างขั้นต่ำทั้ง ในภาครัฐและเอกชน ธุรกิจจำนวนไม่น้อยก็จะม้วนเสื่อเพราะปรับแล้วเจ๊ง และการจ้างงานก็จะลดลงไปด้วย
ค่าจ้างขั้นต่ำควรปรับขึ้นแต่เป็นไป อย่างมีขั้นตอนตามกาลเวลาและความเหมาะสม ไม่ใช่บอกตัวเลขมาเลยว่า 300 บาทต่อวัน ถึงแม้ผู้ใช้แรงงานในระบบแบบจ้างรายชิ้นและรายวันจะมีเพียง 11 ล้านคน ในแรงงานทั้งประเทศ 38 ล้านคน แต่อย่าลืมว่าระดับอ้างอิงใหม่นี้จะกระทบถึงค่าจ้างแม่บ้านของภาคบริการและ มีผลต่อการคาดหวังในการได้รับผลตอบแทนของภาคที่ไม่เป็นทางการ เช่น ขายลูกชิ้นปิ้ง เปิดท้ายขายของ ขายผลไม้ ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ฯลฯ ด้วย
เงิน เดือนปริญญาตรีอย่างต่ำ 15,000 บาทต่อเดือน ก็จะทำให้การจ้างงานของคนจบปริญญาตรีน้อยลงเพราะคงหาผู้จ้างที่มีปัญญาจ้าง ในระดับนี้ไม่มากรายนักในทันที
ความตั้งใจดีก็จะ ก่อให้เกิดผลในทางลบ ทำให้เกิดการจ้างงานต่ำกว่าระดับคือยอมรับเงินเดือนต่ำกว่าระดับปริญญาตรี เพียงขอให้มีงานทำเท่านั้น
ส่วนการกำหนดการประกันราคาข้าว ที่ 15,000 บาท และ 20,000 บาทนั้น เชื่อแน่ได้ว่าเกษตรกรจะทิ้งข้าวที่จำนำไว้แน่เพราะราคาตลาดยากที่จะสูงถึง ขนาดนั้นใน 2 ปีข้างหน้า นอกจากภาครัฐจะเสียเงินไปมหาศาลแล้ว จะมีข้าวล้นอยู่ในมือมากด้วย ครั้นจะขายสู่ตลาดในประเทศก็จะทำให้ราคาข้าวที่รัฐไม่ได้ประกันราคาตกลงไป ครั้นจะส่งออกนอกก็สูงกว่าราคาต่างประเทศ
ในขณะที่สัญญาจะสร้างรถไฟ ด่วนหลายสาย ให้บริการประชาชนมากมายแต่มีรายได้ของรัฐน้อยลงมากจากการลดภาษีเงินได้ นิติบุคคลลงจากร้อยละ 30 (จาก 30 เป็น 20) ในเวลาไม่นานฐานะการคลังก็จะไม่มั่นคง รัฐบาลขาดดุลเพราะใช้งบฯประเทศขนาดใหญ่มาก ทั้งหมดนี้จะทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น (กฎหมายกำหนดไม่ให้เกินร้อยละ 60 ของ GDP)
การออกมากู้เงินขนาดใหญ่ของภาครัฐเพื่อปิดหีบก็จะสร้างแรงกด ดัน ให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศสูงขึ้นเนื่องจากภาครัฐต้องแย่งชิงเงินออมกับภาค เอกชนที่ต้องการเงินเอาไปลงทุน เมื่อดอกเบี้ยถูกผลักดันสูงขึ้น คนโชคร้ายก็คือพวกกู้ยืมผ่อนส่งบ้านและรถทั้งหลาย
โดยส่วนตัวผมไม่ ว่าอะไรถ้าจะไม่ทำตามที่สัญญาเพราะรู้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ผมแก่พอจะแยกแยะออกว่าอะไรจริงอะไรลวง แต่ถ้ารัฐบาลจะทำจริงแม้เพียงสักครึ่งหนึ่งเพราะคิดว่าได้สัญญาไว้กับคนที่ เชื่อพรรคเพื่อไทยจนลงคะแนนให้ ผมก็รู้สึกหนาวแล้ว
เมื่อคุณยิ่ง ลักษณ์ได้ "เสียงสวรรค์" มากผมก็ยอมรับและมีความปรารถนาดีเพราะอยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า อย่างไรก็ดี ก็ให้รู้สึกหนักใจแทนคุณยิ่งลักษณ์ (ผู้ซึ่งผมเคยพบส่วนตัวครั้งหนึ่งในงานหนังสือแห่งชาติและรู้สึกประทับใจใน ความเป็นมิตร) เพราะเชื่อว่ามีพันธกิจสำคัญยิ่งคือพาพี่ชายกลับบ้านให้ได้โดยเร็วเพื่อจะ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงอีกครั้ง
มิฉะนั้นคุณทักษิณจะเลือกคนที่เชื่อได้ที่สุดว่าจะทำตามคำสั่งมาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวแทนทำไม
ตรง นี้แหละคือทุกขลาภของการเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ยกแรกของคุณยิ่งลักษณ์ ถ้าพยายามหาวิธีนิรโทษกรรมไม่ว่าด้วยวิธีใดก็จะปะทะกับประชาชนส่วนหนึ่งที่ รู้ทัน ครั้นไม่ทำก็ไม่ได้เพราะมันคือสาเหตุของการได้รับเลือกมาเป็นตัวแทน เมื่อคำนึงถึงการเป็นฝ่ายค้านของประชาธิปัตย์ที่มีประสบการณ์การเมืองสูง กว่าคุณยิ่งลักษณ์และพวกด้วยแล้ว คุณยิ่งลักษณ์ก็น่าจะทุกข์ใจยิ่งขึ้นเพราะแรงกดดันที่มาจากสารพัดด้าน
ใน พรรคเพื่อไทยเองในขณะนี้ก็คงฟัดกันนัวแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี ดูข้างนอกเหมือนมีอำนาจจริงแต่คนเคาะในทุกเรื่องคือพี่ชาย คุณยิ่งลักษณ์ก็คงมีความคิดเองบ้างว่าอะไรควรเป็นอะไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตรงนี้แหละคือความอึดอัดและความทุกข์ที่จะทำให้แก่ลงไปอีกหลายปีในระยะเวลา เพียงไม่กี่เดือน
ช่วงเวลาฮันนีมูนกับประชาชนคงมีไม่นานเพราะผู้คน ปัจจุบันใจร้อน อยากเห็นผลเร็วๆ และไม่อยากเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็นและหลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ กี่เดือนก็จะเจอฝ่ายค้านในศึกอภิปรายงบประมาณ ศึกครั้งนี้เป็นของจริงที่โค้ชทั้งหลายก็ไม่อาจช่วยได้มากนัก เพราะคงใส่กันไม่ยั้งเพราะไม่มีอะไรต้องเกรงกันอีกแล้ว
ขอ ให้คุณยิ่งลักษณ์โชคดี ตัดสินใจถูกต้องและทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง เพราะเป็นโอกาสดีที่จะทิ้งสิ่งดีๆ ไว้เป็นอนุสรณ์แก่ชื่อของตนเองและน้องไปค์ในอนาคตครับ