ที่มา thaifreenews
นับตั้งแต่เกิดการรัฐ ประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน เป็นต้นมา ฝ่ายผู้มีำอำนาจในประเทศนี้ต่างก็เชื่อว่าสถานการณ์ในประเทศไทยคงจะกลับเข้า สู่รูปแบบเดิมที่เคยเป็นมา คือเขียนรัฐธรรมนูญใหม่, เอาคนของตัวเองขึ้นมาครองอำนาจเป็นรัฐบาล แล้วทุกอย่างก็ลืม ๆ กันไป ประชาชนก็อดทน, อดกลั้น, อดออม กันต่อไป โดยไม่มีใครกล้าหาญชาญชัยขึ้นมาต่อกรกับอำนาจเผด็จการที่ครองประเทศนี้มา อย่างยาวนานได้ต่อไป หลังจากที่ฝุ่นตลบและจัดระเบียบอยู่พักนึง แล้วทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่วงจรเดิม เผด็จการครองอำนาจ (สร้างภาพ) ต่อไป, ประชาชนไทยถูกกดขี่เอาเปรียบต่อไปแต่ หลังการรัฐประหารในครั้งนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ที่แตกต่างไปจากความคาดหมายโดยสิ้นเชิง ประชาชนจำนวนมากมายทั่วทั้งประเทศกลับลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ของตนเอง รัฐบาลที่เคยคาดว่าจะได้เป็นรัฐบาลของเผด็จการ ก็ถูกประชาชนทำลายยับเยินลงด้วยการแพ้เสียงในการลงคะแนนเลือกตั้ง และยังเกิดการชุมนุมประท้วงต่อต้านอำนาจเผด็จการมากขึ้นจนน่ากลัวในทุก พื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นรูปแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการจัดการประเทศของ เผด็จการอมาตย์ในประเทศไทย ซึ่งก็ได้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนจำนวนมากขึ้นแล้วในขณะ นี้.....
อ่านต่อ และแสดงความคิดเห็น
สิ่งที่น่าจะนำพิจารณาเพื่อพึงตั้งเป็นข้อ สังเกตก็คือ นับจากเกิดกระแสต่อต้านเผด็จการขึ้นอย่างรุนแรงและขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ ฝ่ายเผด็จการอมาตย์และผู้ที่มีอำนาจภายใต้อมาตย์นี้ ไม่เคยที่จะแสดงความจริงใจในการพยายามสร้างสัมพันธไมตรีอันดีกับประเทศ เพื่อนบ้านที่อยู่โดยรอบเลย ไม่เคยเกิดความตกลงร่วมกันในการพัฒนาผลประโยชน์ระหว่างกัน, ไม่เคยเกิดโครงการแลกเปลี่ยนร่วมมือใด ๆ เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน, แต่ดูเหมือนฝ่ายเผด็จการ และกลุ่มเครือข่ายของพวกเขากลับพยายามสร้างความร้าวฉาน, ความขัดแย้งจนถึงขั้นใกล้จะเกิดสงครามเข้าไปทุกทีกับประเทศรอบข้างเหล่า นั้น แม้ไม่มีเรื่องราวใด ๆ เลยก็กลับพูดจาก้าวก่ายกิจการภายในต่อประเทศนั้น ๆ ซึ่งในทางการทูตถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง จนปัจจุบันแทบจะเรียกได้ว่าประเทศไทยถูกโดดเดี่ยวโดยประเทศที่อยู่โดย รอบอย่างสิ้นเชิงในด้าน “ความสัมพันธ์ิเชิงประจักษ์ (Evident Association)” ความ พยายามทำเรื่องประสานไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อนำตัวท่านอดีตนายกทักษิณกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย กลายเป็นเรื่องตลกระหว่างประเทศ และไม่มีประเทศใดให้การสนับสนุนด้วยเลยแม้แต่น้อย ทุก ๆ ประเทศต่างตอบกลับมาตามวิถีทางการทูตว่าไม่สามารถกระทำได้ทั้งสิ้น....สิ่ง นี้มีหรือว่าเผด็จอมาตย์ผู้มีอำนาจเต็มในการครอบครองประเทศอยู่ในขณะนี้จะ ไม่รับรู้หรือสัมผัสได้....กระแสข่าวลือหนาหูเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า มีผู้ยิ่งใหญ่บางคนในประเทศไทยได้นำเอาทองคำสำรองที่เก็บสะสมเอาไว้เป็นเวลา นานออกมาขายทอดตลาดที่ฮ่องกง...และเมื่อประกอบกับการได้เห็นความผิดปกติ อย่างยิ่งของรัฐบาลเทพประทาน ที่ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เลยที่เป็๋นรูปธรรมในการที่จะควบคุมหรือยับยั้งการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ 2009 ปล่อยให้มีคนไทยติดเชื้อโรคไปแล้วนับแสนคน และมีคนเสียชีวิตเท่าที่ตรวจพบและยืนยัันแล้ว 15 คน ยิ่งทำให้มีพิรุธ และข้อน่าสังเกตมากยิ่ิงขึ้น.... “เผด็จการอมาตย์พวกเขากำลังคิดจะทำอะไรกันอยู่” มี ความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ตรงหน้าชัด ๆ โดยไม่ต้องแปลความใด ๆ ก็คือ ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ล้วนแล้วแต่มีอายุชนิดที่เป็น “ไม้ใกล้ฝั่ง” กันทั้งนั้น จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ดังนั้นคำว่า “อนาคตข้างหน้า” จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นมีเพียง “อำนาจในวันนี้” และ “ความยิ่งใหญ่ในอดีต” ที่จะให้จดจำเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ทั้งหลายพวกเขาไม่จำเป็นต้องสนใจว่าประเทศไทย ในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ลูกหลานหรือประชาชนไทยในประเทศนี้ที่จะต้องอยู่ต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะอีกไม่นานพวกเขาก็จะไม่ได้อยู่ในแผ่นดิน หรือในโลกนี้แล้ว ดังนั้นวิธีใดก็ตามที่จะยังคงรักษาอำนาจเอาไว้แ่ก่ตัวของพวกเขาได้ โดยไม่ยอมให้ใครมายึดเอาอำนาจนั้นไปพวกเขาจะต้องทำแน่ เพราะพวกเขาคิดถึงแต่วันนี้เท่านั้น.....สิ่งต่าง ๆ อันเป็นวิธีการปฏิบัติใด ๆ ก็ตามที่ผ่านมาของเผด็จการอมาตย์ นับตั้งแต่การเปิดความขัดแย้งกับประเทศรอบด้าน, การแสดงความประสงค์ตามไล่ล่าท่านนายกทักษิณ ไปทั่วโลกผ่านประเทศต่าง ๆ, การไม่แสดงความใส่ใจในการควบคุมและป้องกันไข้หวัด 2009 สิ่งเหล่านี้ถ้านำมาประมวลเข้าด้วยกันให้ดี พร้อมกับมองดูถึงความเป็นผู้สูงวัยของเผด็จการอมาตย์ที่ “ไม่มีอนาคต” และเพียงแต่คิดถึงปัจจุบันเท่านั้น.... ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” ของโลก ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เมื่อเข้าตาจนจากการถูกบีบจากนานาชาติ เผด็จการอมาตย์ในประเทศนี้อาจจะบ้าเลือดถึงขั้น “สั่งปิดประเทศ” ไม่ติดต่อค้าขายกับใคร อยู่แบบโดดเดี่ยวเหมือนกับประเทศพม่า...ก็อาจเป็นได้เวลา นี้เผด็จการอมาตย์กำลังเข้าตาจนชนิดที่ไม่มีทางออกใด ๆ แล้ว จาก 1. แรงกดดันของประชาชนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศที่ออกมาต่อต้าน อำนาจเผด็จการและมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 2. แรงกดดันจากนานาชาติในเรื่อง “การปิดสนามบินนานาชาติ” ที่กำลัีงใกล้ถึงตัวเข้ัามาทุกขณะ 3. ปัญหาเศรษฐกิจที่พังทลายและกำลังทำลายประเทศให้พินาศหมดสิ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.... การสั่งปิดประเทศ จึงอาจจะเป็นหนทางแก้ไขปัญหาหนทางสุดท้าย ที่จะสามารถรักษาอำนาจเผด็จการโบราญของตนเอาไว้ได้ก็เป็นไปได้เพราะ สถานการณ์ทุกอย่าง สุกงอม แล้วถ้าวิเคราะห์ตามสถานการณ์เหล่านี้ มีความเป็นไปได้สูงที่เผด็จการอมาตย์จะใช้อำนาจสุดท้ายที่ตนถือครองอยู่ ใช้กำลังเข้าจัดการและจัดระเบียบใหม่กับประชาชนภายในประเทศ โดยไม่สนใจว่าประเทศอื่น ๆ จะคิดเห็นอย่างไร จากนั้นก็สั่งการให้ “ปิดประเทศ” แบบเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เกิดการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งถ้าเผด็จการอมาตย์หน้ามืดถึงขั้นนั้น และกล้าที่จะทำเช่นนั้นจริง ประเทศนี้คงจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และไม่มีทางกลัีบมารวมกันได้อีก เพราะประชาชนไทยที่ “ตาสว่าง” กันทั้งแ่ผ่นดินแล้วนั้นคงจะลุกขึ้นต่อต้านอย่างเต็มกำลังแน่นอนความ น่ากลัวของเผด็จการอมาตย์ยุคสุดท้ายนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลแต่เป็นอำนาจที่เขาครอบครองอยู่ ซึ่งมีทั้งอำนาจมวลชนจัดตั้ง, อำนาจกองกำลังติดอาวุธ, อำนาจของข้าราชการ, และที่สำคัญก็คือยังมีอำนาจบารมีจากประเพณีความเชื่อที่ฝังรากลึกในสังคมไทย อีกด้วย และเมื่อถึงเวลาคราวจำเป็นที่สุดเขาจะใช้อำนาจทุกอย่างทำลายประชาชนผู้รัก ประชาธิปไตยอย่างเต็มที เพียงเพื่อให้เขาได้ยึดครองอำนาจเผด็จการเอาไว้ต่อไปตราบลมหายใจสุดท้ายเท่า นั้นเอง เวลานี้เป็นภาวะสงคราม ระหว่างชนชั้นและสงครามทางการปกครอง ในฐานะที่เราเป็นเจ้าของประเทศไทยร่วมกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นประเทศชาติจะรุ่งเรื่อง หรือร่วงโรย เราคนไทยก็ไม่สามารถย้ายไปอยู่ประเทศอื่นได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราทุก ๆ คนต้องช่วยกันสังเกตสถานการณ์และร่วมกันแสดงพลังอย่างเต็มที่ว่า “เราต้องการประชาธิปไตย” โดยแสดงความต้องการอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในจุดมุ่งหมายเดียวกันนี้ แม้จะมีความขัดแย้งไม่เข้าใจกันบ้างแต่ก็ขอให้ร่วมเดินกันไปบนหนทางเดียว กันนี้ โดยไม่ทำลายกันจนหมดไปเสียก่อน“จับมือไปด้วยกัน....เดินไปด้วยกัน....ก้าวย่างไปด้วยกัน....สู้ไปด้วยกัน....และเราจะชนะร่วมกัน”.....ปูนนก
แก้ไขล่าสุด ใน วันจันทร์ที่ 13 กรกฏาคม 2009 เวลา 16:59 น.