ที่มา Thai E-News
โดย พิษณุ พรหมสร
16 กรกฎาคม 2552
หมายเหตุไทยอีนิวส์:พิษณุ พรหมสร ตกเป็นเหยื่อของคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายล่าสุด(แต่ยังไม่น่าจะเป็นคนสุดท้าย)เขาถูกกล่าวหาภายหลังขึ้นปราศรัยที่สนามหลวงเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีข่าวว่าพิษณุลี้ภัยไปยังต่างประเทศ นี่เป็นข้อเขียนที่เขาส่งมาถึงประชาชนชาวไทย ผู้อ่านพึงพิจารณาและใช้วิจารณญาณ
พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน
หลังจากที่ผมจากมา ก็มีเพื่อนฝูง และพี่-น้องหลายท่านที่เป็นห่วง ก็ขอกราบขอบพระคุณมา ณ.ที่นี้ ผมอยู่สุขสบายดีครับ ถึงแม้ว่าความเป็นอยู่จะสู้เมืองไทยไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคอันใดเลย อุดมการณ์และปณิธานที่จะผลักดันให้ประเทศของเราได้เข้าสู่สังคมประชาธิปไตย 100% นั้น คือสิ่งที่เป็นความหวังอันสูงสุด และมันทำให้ผมสามารถดำรงอยู่ในสภาพใดๆ ก็ได้
สิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดนั้น ทั้งการบรรยายตามสถานที่ต่างๆ และการปราศรัยบนเวที นปช. คือสิ่งที่ผมพยายามจะบอกกับ พี่-น้องคนไทยทุกคนว่า เราต้องมีวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์เสียก่อน เราถึงจะสามารถเอาชนะเจ้าของโรงลิเกได้
การที่เราจะมีชัยชนะในทางการเมืองในขณะนี้ มิใช่การที่ฝ่ายเราได้เป็นรัฐบาล หรือ การยกพวกเข้าทำลายล้างกัน การใช้กำลังตัดสินนั้น มันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของ การต่อสู้ทางชนชั้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การปฏิวัติทุนนิยมประชาธิปไตย
คือเราต้องยอมรับกันเสียก่อนว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในวันนี้ มิใช่แค่การต่อสู้กันในทางการเมืองเท่านั้น แต่การต่อสู้ของชาวเสื้อแดงในขณะนี้มันได้ถูกยกระดับขึ้นมาเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะไม่จบลงด้วยสันติวิธี
แต่ชัยชนะทางการเมืองของพวกเราชาวเสื้อแดงในเบื้องต้น คือการที่ประชาชนต้องมีชัยชนะในทางความคิดเสียก่อน หรือการเคลื่อนทางความคิดของมวลชน
เมื่อ14 ต.ค. 16 , 6 ต.ค.19 รวมทั้งพฤษภาทมิฬ มวลชนทั้งประเทศยังมิได้มีการเคลื่อนทางความคิด แต่ในครั้งนี้มันต่างกัน การที่มวลชนเคลื่อนทางความคิด คือสิ่งที่เจ้าของโรงลิเกกลัวที่สุด
คำอธิบายก็คือ อำนาจของเขาได้มาจากอะไร คำตอบก็คือได้มาจาก บารมี และบารมีได้มาจากอะไร คำตอบก็คือได้มาจากความรักและศรัทธาจากประชาชน แต่ถ้าหากประชาชนปราศจากซึ่งความรักและความศรัทธาแล้ว อำนาจและบารมีของเขาที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะเสื่อมลงเรื่อยๆ
ในเวลานี้ถ้าอยากจะรู้ว่าความเสื่อมนั้นมันลุกลามไปถึงไหน ก็ให้ไปถาม คนเก็บขยะทั่วประเทศ ก็จะรู้เอง
ทัศนะเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก เพราะถ้าประชาชนไทย สามารถเปลี่ยนจากทัศนะไพร่ ที่ปลูกฝังคนไทยมาหลายร้อยปี มาเป็นทัศนะที่เป็นเสรีชน คือทุกคนมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน เราก็จะมีชัยชนะในเบื้องต้น
ในบ้านเมืองที่ผมอยู่นี้ ประชาชนของเขาในสมัยก่อน พวกเขาเรียกตัวเองว่าข้าน้อย แต่ตอนนี้พวกเขาเรียกตัวเองว่าข้าพเจ้า คือเขาสามารถสลัดความเป็นไพร่ออกจากสมองของพวกเขาได้แล้ว พวกเขาเป็นเสรีชนกันหมดแล้ว ผมก็อดภูมิใจในพวกเขาไม่ได้
การที่ผมโดนคดีหมิ่นนั้น เกิดจากการที่ผมพยามพูดความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ เช่นการวิจารณ์ว่า โครงการราษฎรดำริของคนไทย ตัวอย่าง กองทุนหมู่บ้าน OTOP เป็นโครงการที่ผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประชาชน เป็นโครงการที่สอนให้ประชาชนเป็นเถ้าแก่ โดยการที่ประชาชนมีโอกาสหมุนเวียนกันมาบริหารการจัดการด้วยตนเอง โดยการเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหารกองทุน และยังเป็นโครงการที่สามารถดึงศักยภาพของประชาชนออกมาใช้ได้อย่างสูงสุด ฯลฯ
ส่วนโครงการอื่น เงินที่นำไปสร้าง ก็เป็นเงินภาษีอากรของราษฎร แต่ผลประโยชน์กลับตกอยู่กับเจ้าของโครงการ คนที่มีฝีมือและมีความสามารถก็เก็บตัวเขาไว้ใช้ ให้กินแต่เงินเดือนเลี้ยงพวกเขาไว้เป็นทาสไพร่ ชาตินี้ไม่มีโอกาสได้เป็นเถ้าแก่ ทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงศักยภาพอันสูงสุดออกมา
และการที่สอนให้ประชาชนอยู่กันแบบเศรษฐกิจเพียงพอ เป็นการสอนที่ทวนกระแสโลกาภิวัตน์ บ้านอื่นเมืองอื่นเขาสู้กันที่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่เมืองไทยผู้มีอำนาจกลับสอนให้ประชาชน อยู่แบบเพียงพอ แต่คนสอนกลับรวยล้นฟ้า และยังทำตัวเป็นนายเหนือประชาชน โดยหลอกประชาชนว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นคนกู้บ้านกู้เมืองมา ก็อยากจะถามกลับว่า เวลายกทัพไปรบกับพม่า ครอบครัวพวกเขาออกไปรบครอบครัวเดียวหรือ วันดีคืนดีก็ทวงบุญคุณประชาชนอีก ทั้งที่ความสุขสบายที่พวกเขาได้รับอยู่ ก็เป็นเงินภาษีอากรของราษฎรที่เลี้ยงดูพวกเขาอยู่ทั้งสิ้น
หรือสอนให้คนไทยมีวิธีคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เช่น เมืองไทย เวลาจะทำนา ปลูกข้าว หรือทำการเกษตร บ้านอื่นเมืองอื่นเขาใช้ การทดลอง การวิจัยพันธุ์ข้าว วิจัยเมล็ดพืช บางประเทศเขาใช้เทคโนโลยีดาวเทียม แต่ประเทศไทย เวลาจะทำการเกษตรก็ต้องถามสัตว์เดรัจฉานคือพระโคก่อนว่า พระโคจะกินอะไรให้ทำนายไปทางนั้น..ที่น่าทุเรศก็คือคนจูงโค จบถึงปริญญาเอก แถมบรรดาคนใกล้ชิดเจ้าของโรงลิเก เสนอหน้าออกมาแนะนำให้คนไทยใช้ควายไถนา ทั้งที่ความเป็นจริง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย มีหุ้นอยู่ใน บริษัทคูโบต้า ถึง 40%
ประเทศไทยเป็นสังคมที่ฝ่ายผู้มีอำนาจพยายามสร้างมายาภาพออกมาหลอกลวงประชาชนโดยใช้วิธีที่ตรงข้ามกับหลักวิทยาศาสตร์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ที่เรียกว่าจิตนิยม หรือความเชื่องมงาย มีนักรบไซเบอร์บางท่านเรียกสังคมไทยว่า ตอแหลแลนด์ ผมเห็นว่าเป็นวาทกรรมที่ตรงกับประเทศไทยที่สุด
ประเทศนี้มันเป็นตอแหลแลนด์ครับ คือพูดความจริงไม่ได้ ทำให้คนไทยบางส่วนมีระบบคิดเหมือนคนคุก คือคนไทยเหมือนคนติดคุก สมมุติว่า ถ้าผู้คุมเรือนจำยักยอกเงินค่าอาหารของนักโทษ ผมถามว่านักโทษจะกล้าพูดความจริงหรือไม่ ซึ่งก็แน่นอนครับคงไม่มีใครกล้าพูดความจริง เพราะกลัวถูกการลงโทษ
ในฐานะที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ พวกเราก็คงจะทราบกันดีว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก่อนออกบวช พระองค์ท่านอยู่ในวรรณะกษัตริย์ ซึ่งในสมัยนั้นความเชื่อในลัทธิพราหมณ์คือความเชื่อในการแบ่งชนชั้นวรรณะมีอิทธิพลสูง หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้ พระองค์ท่านได้ใช้ความรู้ที่เหนือกว่ามาหักล้างความเชื่อทางลัทธิพราหมณ์ พระองค์ท่านทรงตรัสสอนชาวโลกว่าคนทุกคนมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน โดยทรงกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่างเช่น จากการที่คนทุกชั้นวรรณะเมื่อเข้ามาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จะต้องละทิ้งชั้นวรรณะเดิม มาเป็นภิกษุโดยเท่าเทียมกัน เว้นเสียแต่ว่าใครบวชก่อนบวชหลังก็ให้นับถือกันเป็น อาวุโส-ภันเต
พระองค์ท่านสอนมิให้ผู้คนมัวเมาในลาภยศ พระองค์ท่านก็ทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง พระองค์ท่านมิได้สอนให้ผู้คนอยู่กันแบบเพียงพอ แต่พระองค์ท่านกลับรวยล้นฟ้า พระองค์ท่านทรงละแล้วซึ่งกิเลสทั้งมวล อริยสัจสี่ ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ก็เป็นความจริงอันประเสริฐ ที่ไม่มีผู้ใดจะปฏิเสธได้ จนทำให้ผู้คนเคารพและศรัทธามากว่าสองพันปี
พระองค์ท่านยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้..... แต่พระองค์ท่านก็มิได้มีข้อบัญญัติข้อห้ามข้อใดเลย ที่มิให้ผู้คนดูหมิ่นพระองค์ หรือวิจารณ์พระองค์