ที่มา ประชาไท
หลังจากพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democrat Party หรือ LDP) ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายรัฐบาล พ่ายแพ้อย่างยับเยินให้กับพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (Democratic Party of Japan หรือ DPJ) ในสนามเลือกตั้งสภาท้องถิ่นกรุงโตเกียวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จนทำให้แม้ร่วมกับพันธมิตรคือพรรคโคเมยโตะใหม่ (New Komeito party) ซึ่งเป็นพรรคที่มีความใกล้ชิดกับลัทธิความเชื่อทางพุทธแบบหนึ่งในญี่ปุ่นก็ไม่สามารถได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งได้ (64 ที่นั่งจากทั้งหมด 127 ที่นั่ง) โดย LDP ได้ไป 38 ที่นั่ง ส่วนโคเมยโตะใหม่ได้ไป 23 ที่นั่ง ในขณะที่ DJP ได้ไปถึง 54 ที่นั่ง ส่งให้นายทาโร อาโซะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศยุบสภาภายในวันที่ 21 กรกฎาคม หรือวันอังคารของสัปดาห์หน้าแล้ว การเลือกตั้งครั้งใหม่จะมีขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคมนี้
LDP พ่ายการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นกรุงโตเกียวอย่างถล่มทลาย
หนังสือพิมพ์เกียวโตอ้างการพูดคุยของนายอาโซะ กับการประชุมภายในพรรคว่า เขาต้องการผลักดันร่างกฎหมายหลายฉบับในสภา ซึ่งรวมทั้ง พ.ร.บ.การปลูกถ่ายอวัยวะ และ พ.ร.บ.การตรวจสอบคลังสินค้า เป็นต้น นายอาโซะเชื่อว่าการประกาศยุบสภาจะสร้างความชอบธรรมให้เขาในการผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองของญี่ปุ่นก็ไม่เชื่อว่าพรรค LDP จะช่วงชิงความได้เปรียบอะไรได้จากการประกาศยุบสภาก่อนกำหนดเช่นนี้ ศาสตราจารย์ทาคาโยชิ ชิบาตะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวเคซาอิ ชี้ว่า มันสายเกินไปที่จะทำอะไร การเปลี่ยนตัวผู้นำก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้ด้วย
ภาพ นายทาโร อาโซะ, ที่มา - วิกิพีเดีย
ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของพรรค LDP ครั้งนี้ เป็นสัญญาณเตือนว่าประชาชนชาวญี่ปุ่นเริ่มเบื่อหน่ายนโยบายของพรรค LDP ที่ปกครองญี่ปุ่นแบบแทบจะผูกขาดมามากกว่าห้าทศวรรษแล้ว LDP เคยสูญเสียการเป็นรัฐบาลช่วงสั้นๆ เป็นเวลา 11 เดือนในช่วงปี พ.ศ. 2536 - 2537 แต่การเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคเป็น นายจุนอิชิโร่ โคอิซูมิ ก็ช่วยดึง LDP กลับเข้าสู่การเป็นรัฐบาลได้ แต่การสูญเสียความเชื่อถือครั้งใหม่ของ LDP ดูเหมือนเป็นเรื่องเสียหายหนักกว่าที่จะทำอะไรได้อีก LDP พยายามเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าชาวญี่ปุ่นจะเบื่อหน่าย LDP เพื่อมาเลือก DJP ผลโพลล์บ่งชี้ว่าประชาชนญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งกำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ แต่ผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นก็แสดงถึงการถดถอยอำนาจทางการเมืองของ LDP อย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงของญี่ปุ่นยังต้องรออีกพักใหญ่