ที่มา บางกอกทูเดย์
การที่มีผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนออกมาคาดการณ์ว่าหากรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรียังแก้ไขปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แบบเรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงกันเป็นหมู่คือ เลือกที่จะหาเสียงสร้างภาพมากกว่าที่จะทำงานจริงๆ จังๆสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 จะรุนแรงและเลวร้ายมากจะมีคนติดเชื้อมากถึง 20 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตนับพันๆ คนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไม่ใช่เรื่องเกมการเมือง และไม่ใช่เรื่องประจานรัฐบาลแต่เป็นเรื่องความเป็นความตายของชีวิตคนไทยผู้บริสุทธิ์ทั่วประเทศรัฐบาลจะกล้าเสี่ยงหรือ...นายอภิสิทธิ์จะรับผิดชอบได้อย่างไร...เป็นคำถามที่เกิดขึ้นระงมไปหมดแล้วทั้งสังคมไทยในเวลานี้การไม่เห็นผลงานในเรื่องอื่นๆ จะเป็นเรื่องความปรองดองสมานฉันท์ จะเป็นเรื่องความล้มเหลวในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือแม้กระทั่งเรื่องการใช้นโยบายประชานิยมแล้วแจกเงินไม่เป็นโล้เป็นพายผลงานเหล่านี้มองไม่เห็นหรือว่าล้มเหลว ยังพอที่สังคมจะให้อภัยกันได้แต่ผลงานเรื่องควบคุมและแก้ปัญหาไข้หวัดใหญ่ 2009
หากล้มเหลวผิดพลาด...ก็ไม่สมควรเป็นรัฐบาลแล้วไล่มาตั้งแต่หัวหน้าคณะรัฐบาลและรัฐมนตรีทุกคน จะต้องแสดงสปิริตทางการเมืองในอดีตซามูไรที่มีศักดิ์ศรีและหยิ่งในเกียรติ จะกระทำพิธีฮาราคีรีตนเองในทันที หากงานที่ได้รับมอบหมายผิดพลาดล้มเหลวจะเป็นการเสียสละชีวิตที่เป็นการแสดงสปิริตที่มีเกียรติยศสูงสุด ได้รับการยกย่องและจดจำ...ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองในยุคปัจจุบันควรจะต้องยึดเป็นแนวคิดในการเสียสละเป็นอย่างยิ่ง...ทำไม่ได้ก็ควรจะฮาราคีรีตำแหน่งลุกจากเก้าอี้ไปให้พ้นๆเพื่อให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำแทนไม่ใช่มานั่งตะแบงหน้าด้านกันไปวันๆ...ไม่ลาออกเพราะต้องการพิสูจน์ตัวก่อนแล้วเคยถามบ้างหรือไม่ว่า ประเทศชาติจะเสียหายไปอีกเท่าไรกันซึ่งความรุนแรงของปัญหา ณ วันนี้ ความคืบหน้าสถานการณ์ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ของไทย ตั้งแต่วันที่28 เม.ย.-13 ก.ค.2552มีผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 3,883 ราย และเสียชีวิตแล้วทั้งสิ้น21 รายเฉพาะแค่วันที่ 13 ก.ค.เพียงวันเดียวเท่านั้น ได้รับรายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันผู้ป่วยรายใหม่แล้วอีก 328 รายมีผู้ป่วยอาการหนักต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด 10 รายและมีผู้เสียชีวิตเฉพาะที่ได้รับรายงานวันเดียวรวด 3 รายแรงกดดันแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาเตือนกันตรงๆ ชัดๆ และแรงๆ เพราะรู้ดีว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ในทุกวันนี้ “ดื้อยา”…ดื้อในคำเตือนทั้งหลายแหล่ไปหมดแล้ว
ในสมองคิดแต่ว่าถูกจ้องเล่นงานทางการเมืองโดยไม่ได้สำเหนียกเลยว่า คำเตือนทั้งหลายนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ต้องการช่วยรัฐบาลดื้อด้าน แต่ต้องการช่วยประชาชนคนไทยให้พ้นจากความเสี่ยงของไข้หวัดใหญ่ 2009... ต้องการช่วยให้เศรษฐกิจ และธุรกิจ รอดจากวิบัติไข้หวัดใหญ่มหากาฬที่เกิดขึ้นในเวลานี้เช่นเดียวกับที่คุณหญิงสุดารัตน์ออกมาเตือน ก็เพราะเคยมีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามาแล้ว ทั้ง โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือรู้จักกันในชื่อ โรคซาร์ส (SARS :Severe Acute Respiratory Syndrome)ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส ทำให้มีไข้สูง ไอแห้งหอบ หรือหายใจลำบากในตอนนั้นเรียกกันเป็นไข้หวัดมรณะกันเลยทีเดียวเพราะโรคซาร์สก็เกิดจากเชื้อไวรัสเช่นกันโดยมีทั้งไวรัสในกลุ่มโคโรนาไวรัส (Corona Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหวัดธรรมดากับไวรัสอยู่ในกลุ่มพาราไมโซไวรัส (Paramyxo Virus) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัด คางทูม และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจองค์การอนามัยโลกระบุว่า โรคนี้มีต้นกำเนิดมาจากมณฑลกวางตุ้งของประเทศจีน เมื่อวันที่ 16 พ.ย.2545 ระบาดไปยังฮ่องกงซึ่งการรับมือกับโรคซาร์สที่ระบาดมายังไทยได้อย่างอยู่หมัดนั้น ทำให้องค์การอนามัยโลกนำประเทศไทยไปยกย่องเป็นต้นแบบที่ดีในการรับมือโรคติดต่อร้ายแรงและทำให้เมื่อเกิดปัญหา ไข้หวัดนก (avian influenza) หรือชื่อสามัญ Bird flu ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่ชื่อH5N1 พบได้ในสัตว์ปีก โดยพบครั้งแรกในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในประเทศอิตาลี เรียกกันว่าไข้หวัดสเปน (Spanish Flu)ระบาดครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2460-2461 มีผู้เสียชีวิตทั่วโลก
ประมาณ 20-40 ล้านคนครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2500-2501 เรียกว่า “ไข้หวัดใหญ่เอเชีย” (Asian Flu) มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ 1-4 ล้านคนและครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2511 เรียกว่า “ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง” (Hong Kong Flu) มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกประมาณ1-4 ล้านคนจนมาเกิดในไทยช่วงปี 2547-2548 เป็นการระบาดมาจากเมืองกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งเป็นเพราะรัฐบาลขณะนั้นมีประสบการณ์ในการรับมือโรคซาร์สมาแล้ว จึงทำให้รับมือไข้หวัดนกได้ดีดังนั้น เมื่อตอนนี้ไข้หวัดใหญ่ 2009 กำลังอาละวาด เป็นเรื่องที่เดิมพันอยู่กับชีวิตประชาชนและประเทศชาติ รัฐบาลอภิสิทธิ์ควรที่จะลดละทิฐิ อย่าไปคิดว่าแนวทางการรับมือโรคระบาดโรคซาร์สและไข้หวัดนกนั้นเป็นของใครถ้าดี...ถ้าแม้แต่องค์การอนามัยโลกยังเอาไปชม เอาไปยกย่องเป็นประเทศตัวอย่าง...ตอนนี้ก็ควรที่จะนำเอาแนวทางเหล่านั้นมาใช้ไม่ใช่ปล่อยให้มีคนตายพุ่งขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ หรือปล่อยให้มีเด็กนักเรียนตกอยู่ในภาวะเสี่ยงมากขนาดนี้ เพราะแม้แต่โรงเรียนดังโรงเรียนมีชื่อแถวจุฬาฯ ตอนนี้ก็พูดกันมากแล้วว่ามีเด็กอยู่ในระบบคัดกรองตรวจสอบกว่าครึ่งค่อนห้อง ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่สูงมากและไม่ใช่ปล่อยให้วันนี้ ทั้งเซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งสยามพารากอน รวมทั้งโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ตกอยู่ในภาวะเงียบเหงาราวป่าช้า...ลูกค้าหด นักท่องเที่ยวหายจนแล้วจนรอดรัฐบาลก็ไม่ใช้กลไกกระทรวงสาธารณสุขยุคคุณหญิงสุดารัตน์มาแก้ไขปัญหา...ก็อีแค่กลัวเสียหน้ารัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้นหรือ???
ที่ปล่อยให้ประเทศชาติและประชาชนคนไทยเผชิญกับชะตากรรม ภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการวิบัติ จนอาจถึงขั้นต้องปิดประเทศแม้ว่าทางอธิบดีกรมการแพทย์จะออกมาระบุว่า กรณีประเทศไทยสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009 ยังอยู่ใน Levelแค่ MILD เท่านั้นยังไม่ถึงขั้น SEVERE!!!แต่คำถามก็คือ แล้วต้องรอให้ถึงระดับ SEVERE ก่อนงั้นหรือ??? รัฐบาลถึงจะรู้ร้อนรู้หนาวมากกว่านี้ต้องให้ประชาชนเสี่ยงก่อนใช่หรือไม่ ถึงจะทำให้นายกฯอยู่กับร่องกับรอยมากกว่านี้ เพราะทุกวันนี้ประชาชนฟังสัมภาษณ์แล้วงง ตกลงว่าเป็นเรื่องที่ยังไม่ต้องซีเรียส หรือว่าเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่งแล้วกันแน่กลับไปกลับมาจนประชาชนงงเต็กไปตามๆ กันประเทศที่ใหญ่ๆ ไม่ว่า จีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่เม็กซิโก ต่างเข้มงวดเต็มพิกัดจนเอาอยู่ ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น สบายใจในขณะที่ประเทศไทยยังหละหลวม จนหามาตรการป้องกันไม่ค่อยจะเจอแม้แต่ปิดประเทศก็ยังไม่รู้ว่า จะเอาอยู่หรือไม่แล้วตอนนี้คงเหมือนกับที่โรงเรียนกวดวิชาตั้งคำถามนั่นแหละว่าปิดโรงเรียนกวดวิชา 15 วันรอบนี้ หวังว่าคงไม่สูญเปล่านะ!!!ที่พูดไม่ใช่โรงเรียนกวดวิชาน้อยใจหรือดื้อแพ่ง หากแต่เป็นเพราะมองไม่เห็นมาตรการรองรับที่ชัดเจนที่จะตามมาแต่อย่างใดดังนั้น วันนี้นอกจากต้องการมาตรการรองรับแล้ว สังคมยังอยากเห็นการแสดงความรับผิดชอบจากผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงด้วยนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขน.พ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ถึงเวลาที่ต้องลาออกเพื่อแสดงสปิริตต่อผู้เสียชีวิตทั้งหมดหรือยังนายเรวัต วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ และม.ล.น.พ.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค สมควรที่จะลุกขึ้นมาทำหน้าที่ โดยไม่หวาดหวั่นต่ออิทธิพลทางการเมืองแล้วหรือไม่ตรงนี้ขอกระตุ้นจิตสำนึกให้คิดเพราะไม่อยากให้ปัญหาไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นเหมือนปัญหา4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เมื่อตายกันมากๆ จนกลายเป็นการตายรายวัน แล้วก็กลายเป็นความเคยชินของรัฐบาลไม่คิดจะแก้ปัญหาอะไรแล้ว เพราะถือว่าประชาชนเคยชินแล้ว...จะเอาอย่างนั้นหรือถึงวินาทีนี้เชื่อเถอะว่า การที่นายอภิสิทธิ์ทุ่มเทกำลังคนอย่างเต็มที่ ใช้คนร่วม 5,000 คน ใส่เสื้อเกราะอ่อน พร้อมเตรียมเฮลิคอปเตอร์บินวนรักษาการณ์และป้องกันภาวะฉุกเฉินนั้นมันไม่ได้ช่วยสร้างภาพบวกให้กับนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลเลยคนที่เก็บเอาไปคุยเขื่องขยายความก็คือ กลุ่มเพื่อนเนวินผู้มากบารมีทั้งหลายเท่านั้นเองแต่ประชาชนได้อะไรกับการกระทำตรงนั้น คิดหรือว่าประชาชนจะชื่นชม??? จะเรียกคะแนนศรัทธาได้???วันนี้คะแนนศรัทธามีรออยู่แล้ว...แค่นำมาตรการที่เคยได้ผลในการรับมือโรคซาร์ส รับมือโรคไข้หวัดนก มาใช้อย่างจริงจังเพราะขืนยังไม่ทำ ไม่มีมาตรการป้องกันที่ดี เกิดในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่ภูเก็ตปลายเดือนนี้หากมีผู้นำรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านที่มาร่วมประชุมติดไข้หวัดใหญ่ 2009 ขึ้นมาคงได้งามไส้กันแน่ ..ชื่อเสียงประเทศไม่เหลือแน่ถึงวันนี้ระดับของการระบาดที่รัฐบาลอ้างว่า ไม่ Full Attackยังขนาดนี้...แล้วถ้า Full Attack แล้วจะขนาดไหน...อย่าทำร้ายประเทศไทยกันขนาดนี้เลย...เชื่อเถอะ ■