WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, July 15, 2009

หวัดระบาดหนัก ตาย อันดับ 6 ของโลก!

ที่มา บางกอกทูเดย์

ไม่ว่าถึงวันนี้จะมีการอ้างว่าอย่างไรก็ตาม ในการรับมือกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่วิกฤติครั้งนี้ถือว่าเป็นมหันตภัยที่ไม่สามารถจะมองข้ามหรือไม่ตื่นตัวได้อีกต่อไปแล้วก่อนหน้านั้น หลายๆ คน หลายๆ รัฐบาล พากันหัวเราะในการที่องค์การอนามัยโลกยกระดับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ไปสู่ระดับ 6ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดแล้ว แต่กลับมีเสียงสะท้อนว่าทำกระต่ายตื่นตูมไปหรือไม่ตื่นตูมหรือไม่ตื่นตูม วันนี้ดิ้นพล่านกันไปหมดแล้ว เพราะนางมารี ปอล คีนี ผู้อำนวยการวิจัยวัคซีนขององค์การอนามัยโลกสำทับซ้ำอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ระบาดถึงขั้นที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้แล้วทุกประเทศจำเป็นต้องมีวัคซีนป้องกันและกลุ่มที่ควรได้รับวัคซีนก่อนเป็นกลุ่มแรก คือ เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข เพราะต้องดูแลผู้ป่วยที่จะมีจำนวนมากขึ้นทั้งนี้ เพราะสถิติล่าสุดขององค์การอนามัยโลกระบุว่า พบผู้ป่วยแล้วไม่ต่ำกว่า 90,000 รายทั่วโลก ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 429 รายแต่ที่สำคัญ องค์การอนามัยโลกบอกว่ามีผลการศึกษาใหม่ชี้ว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เอ เอช 1 เอ็น 1 จะทำให้ปอดเสียหายมากกว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล แต่ยังโชคดีอยู่บ้างที่ตอบสนองต่อยาต้านไวรัสอยู่ความจริงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารงานของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขที่มี นายวิทยา แก้วภราดัย เป็นรัฐมนตรีว่าการนั้น จะบริหารจัดการแบบภาวะปกติทั่วไปไม่ได้อีกแล้วทั้งคู่จะใช้ภาพลักษณ์ของการเป็นคนดีมาสู้กับการแพร่กระจายของไวรัสมหาภัยนั้นไม่ได้แล้ว แต่ต้องใช้การลงมือและมีมาตรการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกว่าที่ผ่านมาที่สำคัญ แม้นายวิทยาจะบอกว่าเป็นคนดี ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวใครในกระทรวงสาธารณสุขเลย ก็เป็นคนละเรื่องกับการต้องทำหน้าที่ดูแลชีวิตและสุขภาพของประชาชนถึงตอนนี้นายวิทยาจะต้องเปิดหูตาให้กว้าง และเลือกใช้คนให้ถูกต้องต้องดูอย่างนายอภิสิทธิ์ ที่เมื่อถูกตำหนิมากๆ เข้า มีเสียงสะท้อนในมุมมองต่างๆ มากๆ เข้า ในเรื่องของมหาภัยจากไข้หวัดใหญ่

สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังยอมรับอยู่ลึกๆ ว่ากำลังจะพังเพราะคนรอบข้างถึงได้แอบไปค้นหาข้อมูลเองทางอินเตอร์เน็ต แล้วไปเจอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของอังกฤษ ทำให้รู้จริงจากการอ่านต้นฉบับเองมากกว่าที่จะอ่านรายงานและคำป้อยอจากคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ถึงได้พูดชัดเจนขึ้น แม่นยำมากขึ้นในเรื่องข้อมูลไม่ได้เฟอะๆ ฟะๆ เหมือนเก่าฉะนั้น นายวิทยาจะต้องดูเป็นตัวอย่าง และต้องเลิกพึ่งทีมงานรอบข้าง ที่ทำให้แม้แต่คนในกระทรวงสาธารณสุขด้วยกันเองยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทนใช้งานอยู่ได้อย่างไร กับทีมงานที่ผิดพลาดอย่างต่อเนื่องมาตลอดในเรื่องของไข้หวัดใหญ่ 2009 นี้ควรจะเทกระจาดโละทิ้งไปได้ตั้งนานแล้วหรืออย่างน้อยก็ชัดเจนตั้งแต่แนะนำให้ติดตั้งเครื่องเทอร์โมสแกนที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้วว่า ล้มเหลวเพราะนอกจากทำให้ขายหน้าเนื่องจากไม่ได้ผล ยังทำให้ถูกตำหนิแถมสูญเสียงบประมาณไปเปล่าๆ ปลี้ๆ...ก็แบบนี้แหละที่คนมีฝีมือซึ่งอยู่ในกระทรวงสาธารณสุขจึงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เนื่องจากที่ผ่านมานายวิทยาทำตามที่กลุ่มข้าราชการประจำกลุ่มนี้ชงบทให้เล่นมาโดยตลอด...เมื่อบทผิด บทโหลยโท่ยคนซวยก็คือรัฐมนตรีว่าการซึ่งเป็นคนเล่นตามบทนั่นแหละถึงได้โดนด่าเช้ายันเย็นอยู่ในเวลานี้ว่าไม่ทำอะไรซึ่งหากจับตาดูให้ดีจะเห็นว่า แม้แต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังเปลี่ยนบทเล่น จากการเล่นตามการชงของข้าราชการประจำ ที่วันๆคอยแต่เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู...ร้องเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มาอะไรเทือกนั้นเปลี่ยนมาเป็นการตั้งคำถามแทน และถามแม้กระทั่งกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพราะโดนตำหนิจนจมหูจมกระเบื้องอย่างมากว่า รัฐบาลยิ่งพูดยิ่งทำให้ประชาชนสับสน ยิ่งทำให้ประชาชนไม่รู้ว่าตกลงแล้วไข้หวัดใหญ่ 2009 มันร้ายแรงแค่ไหนแน่นายอภิสิทธิ์ได้มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องการแถลงข้อมูลออกไปแบบต่างคนต่างพูดกันคนละที และเมื่อพูดออกไปมักจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญออกมาแสดงความเห็นสวนออกมาโดยตลอด ทำให้ประชาชนสับสนแล้วก็ถือโอกาสอ้างว่า ตอนนี้ในประเทศอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา

อังกฤษ และประเทศในยุโรป ไม่ให้ความสนใจเรื่องการรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อแล้ว แต่จะเน้นเรื่องการรักษา รวมทั้งหลายประเทศเปลี่ยนแปลงการเก็บตัวเลขแล้วจึงนำมาสู่แนวคิดที่จะไม่รายงานผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเป็นรายวันหรือเดลี่ รีพอร์ท อีกแล้ว แต่จะใช้การสรุปเป็นรายสัปดาห์หรือวีกลี่ รีพอร์ท แทนโดยอ้างว่าเพื่อกันความสับสนและตื่นตระหนกแต่ก็เกิดเสียงสะท้อนขึ้นมาว่า เป็นการไม่ต้องการให้ข้อมูลความจริง เพราะเอาไม่อยู่แล้วใช่หรือไม่???เหมือนกับกรณีที่ไปฝากความหวังเอาไว้กับโรงงานผลิตวัคซีนต้นแบบกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009รวมไปถึงการซื้อวัคซีนจากต่างประเทศซึ่งทั้งหมดจะต้องรออย่างเร็วที่สุดก็คือเดือนตุลาคม หรืออีกประมาณ 3 เดือนอย่างปานกลางก็คือเป็นช่วงเดือนธันวาคม หรือโน่นเลยอีก 5 เดือนและอย่างช้าก็เป็นต้นปีหน้า 2553จึงเกิดคำถามตามมามากมายว่า แล้วระหว่างทางประชาชนคนไทยจะทำอย่างไร เพราะขณะนี้ระดับความรุนแรงของการแพร่กระจายนั้น ที่ประชุม ครม. ก็รับรู้ไปแล้วว่า อย่างน้อยที่สุดก็มีคนกลุ่มเสี่ยงถึง 2.4 ล้านคนเป็นอย่างน้อยซึ่งก็มีการเสนอไอเดียที่ดูเหมือนฉลาด เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดารัฐมนตรีที่ไม่ประสีประสาได้ว่า น่าจะเป็นวิธีที่ดีและดูทันสมัยไฮเทค นั่นคือขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการส่ง SMS แจ้งเตือนไปยังกลุ่มเสี่ยง 2.4 ล้านคนที่ว่าสงสัยจะยังไม่เข็ดกับ SMS ตอนขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆอย่างไรก็ตาม ยังดีที่มีคนไม่บ้าจี้ไปด้วย ท้วงอย่างเรียบๆ ง่ายๆว่า แล้วจะเอารายชื่อ เอาข้อมูล เอาเบอร์โทรศัพท์ ของคนกลุ่มเสี่ยง 2.4 ล้านคนที่ว่านั้นมาจากไหนรัฐบาลเอาเวลาไปใช้ทำสิ่งที่ได้ผลและสามารถเห็นผลได้ทันท่วงทีกว่านี้จะดีหรือไม่???เพราะแค่ฝากความหวังเอาไว้กับวัคซีนต้นแบบก็เจอสอนมวยเข้าเต็มๆ จาก น.พ.สุชัย เจริญรัตนกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ในฐานะประธานมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย ที่เตือนตรงๆ ว่า วัคซีนต้นแบบนั้นมีความเสี่ยงในเรื่องของอาการข้างเคียงอยู่พร้อมกับเตือนว่าขณะนี้ประเทศไทยได้มีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างรวดเร็วมากมียอดผู้เสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของเอเชียและเป็นอันดับที่ 6 ของโลกแล้วซึ่งเชื้อไวรัสจะค่อยๆ พัฒนาไปทีละน้อย จนอาจกลายพันธุ์เป็นไวรัสชนิดร้ายแรง ดังเช่นเคยเกิดมาแล้วที่ประเทศสเปนในปี พ.ศ.2461 มีผู้เสียชีวิตราว 20-40 ล้านคน และฮ่องกงในปี พ.ศ.2511 ก็มีผู้เสียชีวิต 1-4 ล้านคนจึงได้แต่ภาวนาและหวังว่า สถานการณ์ร้ายแรงหรือที่เรียกว่า “ไทยฟลู” คงจะไม่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2552 นี้โดยให้แง่คิดว่าการผลิตวัคซีนต้นแบบเพื่อใช้ในประเทศไทยนั้นไม่ควรจะเร่งดำเนินการนำมาฉีดให้ประชาชน ต้องศึกษาวิจัยประสิทธิผลให้รอบคอบเสียก่อนระวังจะเจอบทเรียนเหมือนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเจอมาเต็มๆแล้ว เมื่อปี พ.ศ.2519 ที่มีการระบาดของไข้หวัดหมู (Swine flu)แล้วรัฐบาลรีบร้อนผลิตวัคซีนและฉีดให้กับประชาชนชาวอเมริกันปรากฏว่า มีประชาชน 33 ราย เสียชีวิตจากวัคซีนที่ไม่มีคุณภาพและอีก 500 ราย เป็นอัมพาตจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง(Gullain-Barre)เป็นเหตุให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาถูกเรียกร้องค่าเสียหายจากประชาชน 1,571 ราย เป็นจำนวนเงินสูงถึง 35,000 ล้านบาทฟังข้อมูลแบบนี้แล้ว คณะรัฐมนตรีสมควรที่จะอึ้งเพราะที่ประชุมๆ กัน พูดๆ กัน ว่า หากบริษัทผลิตวัคซีนระบุไว้ในสัญญาว่า บริษัทไม่รับผิดชอบ กรณีที่หากเกิดผลข้างเคียงในการใช้วัคซีนให้ถือเป็นเรื่องของภาวะจำยอม นั้น...ไม่น่าจะเป็นคำพูดของคนระดับรัฐมนตรีเลยจริงๆยังดีที่นายอภิสิทธิ์หลุดปากออกมาว่า แม้เป็นเรื่องที่อยู่ในภาวะจำยอม แต่กระทรวงสาธารณสุขและคณะรัฐมนตรีก็ต้องรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้น

ฉะนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขควรที่จะเลิกงมงายกับคนใกล้ตัว เพราะที่ผ่านมาเห็นชัดแล้วว่าพลาดมาตลอดรวมทั้งจะต้องหันไปขันน็อต น.พ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ม.ล.น.พ.สมชาย จักรพันธุ์อธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งถือเป็นต้นเรื่องที่แท้จริงได้หรือยังเพราะไม่รู้ควบคุมโรคภาษาอะไร ถึงได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศหมดแล้วในตอนนี้ทำให้ขณะนี้กลายเป็นต้องเปลี่ยนโหมดจากการป้องกันมาเป็นโหมดของการรักษาแทนแต่กระทรวงสาธารณสุขก็ไม่มีความพร้อม ได้แต่อ้างว่าคนไข้เยอะเกินไปทั้งๆ ที่พื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้ออยู่ในการควบคุมดูแลโดยตรงของกระทรวงสาธารณสุขเองแท้ๆ อย่างเช่นพื้นที่โรงพยาบาลต่างๆ แต่กระทรวงก็ยังไม่มีการออกประกาศให้เป็นพื้นที่สวมหน้ากาก 100% แต่อย่างใดทั้งสิ้นยังปล่อยให้คนไทยตกอยู่ในภาวะความเสี่ยง และไปลุ้นเอาเองว่าไปโรงพยาบาลกลับมาจะเป็นหรือไม่เป็นไข้หวัดใหญ่ 2009และหากระหว่างการทดลองการใช้วัคซีนพบว่า เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง ก็ต้องขยายระยะเวลาการใช้วัคซีนออกไปด้วยเช่นเดียวกันถึงวันนี้รัฐบาลต้องนำเอาประสบการณ์ของประเทศต้นตำรับของการแพร่ระบาด อาทิ เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา โบลิเวียอาร์เจนตินา และญี่ปุ่น มาประยุกต์ใช้รัฐบาลจะต้องดำเนินมาตรการที่เฉียบขาด ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายมากไปกว่านี้ แม้ว่าบางมาตรการจะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจท่องเที่ยวในระยะสั้นๆ บ้างก็ต้องกล้าที่จะดำเนินการ เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพราะลึกๆ แล้วนายอภิสิทธิ์เองก็วิตกเช่นกันมิใช่หรือมิเช่นนั้นคงไม่ถามในที่ประชุม ครม. หรอกว่า ที่ผ่านมามีประเทศใดบ้างที่ต้องปิดประเทศในการแก้ไขปัญหานี้ซึ่งคำตอบก็คือมีประเทศเม็กซิโกที่ต้องปิดประเทศมาแล้วหรือไทยจะต้องซ้ำรอยเม็กซิโก ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์นี่แหละ ■