ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
ทิ้งช่วงไปวันสองวัน นายกฯ มาร์ค ถึงจะออกมาปกป้องว่านายกษิตไม่จำเป็นต้องลาออก
ให้เหตุผลอยู่ 2 ข้อ
ข้อแรกนั้นระบุว่าการถูกตำรวจออกหมายเรียกคดีก่อการร้าย ไม่เข้าข่ายกฎเหล็ก 9 ข้อที่ตีกรอบครม.ไว้ตั้งแต่แรก
ส่วนอีกข้อนายกฯ มาร์คก็ให้เหตุผลว่า
"การให้นายกษิตลาออกจากตำแหน่งในขณะนี้ถือว่าหนักเกินไป เพราะยังเป็นเพียงหมายเรียก มองว่านาย กษิตยังไม่จำเป็นต้องลาออก ซึ่งนายกษิตจะออกก็ต่อเมื่อทำให้งานเสียหาย แต่ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเสียหาย"
หากตีความในคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ประโยค นี้ มี 2 ประเด็น คือ
1.การต้องคดีก่อการร้ายของนายกษิตเป็นเพียงแค่ "หมายเรียก" แสดงว่ากระบวนการยุติธรรมยังไม่ถึงที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
2.การต้องคดีก่อการร้ายของนายกษิตยังไม่มีอะไรเสียหาย ยังไม่กระทบต่องาน
ความเห็นของนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้คงจะฟังดูสมเหตุสมผลหากนายกษิตเป็นเพียงคนธรรมดา หรือเป็นแค่แกนนำม็อบพันธมิตรฯ เท่านั้น ไม่ใช่รมว.ต่างประเทศ
คนที่มีฐานะเป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศในเวทีโลก กลับตกเป็นผู้ต้องหาก่อการร้าย ยึดสนามบินนานาชาติเสียเอง
ต้องไม่ลืมว่าความโกลาหลจากเหตุการณ์ม็อบพันธมิตรฯ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมืองในเวลานั้น นอกจากเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากในสายตาคนไทยด้วยกันแล้ว
ในสายตานานาชาติยิ่งรับไม่ได้ เสียงประณามกระหึ่ม ทั้งโลก
ไม่รวมคำวิพากษ์วิจารณ์วาทะ "อาหารดี ดนตรีเพราะ" หรือ "ไอ้กุ๊ย"
ฉะนั้นแค่ตำรวจออก "หมายเรียก" ก็ถือว่าย่ำแย่แล้ว
รมว.ต่างประเทศโดนข้อหาก่อการร้าย
มีที่ไหนในโลก?
ลองนึกถึงการประชุมรมต.ต่างประเทศอาเซียนที่ภูเก็ตระหว่าง วันที่ 10-24 ก.ค. ซึ่งนายกษิตในฐานะรมว.ต่างประเทศของไทยจะต้องเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ขณะที่มีชนักติดหลังคดีก่อ การร้าย
ภาพพจน์ของรัฐบาลไทยจะเป็นอย่างไรในสายตาเพื่อน บ้าน หรือสายตานานาชาติ
ทั้งหมดนี้จะโทษใครคงไม่ได้ นายกฯ มาร์ค ต้องโทษตัวเองดันเลือกนายกษิตมาเป็นรมว.ต่างประเทศ
ต้องโทษตัวเองด้วยว่าทำไมไม่ตั้งกฎเหล็กข้อที่ 10
ห้ามแต่งตั้งคนที่ยึดสนามบินเป็นรัฐมนตรี