ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
กับปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
เริ่มมีเสียงท้าพนันขันต่อว่าระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ในฐานะผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย กับนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข จำเลยของสังคม
ใครจะอึดกว่าใคร?
ทั้งกรณีนายกษิต และนายวิทยา
คือสิ่งยืนยันถึงความผิดพลาดอย่างมหันต์ในการวางตัวบุคคลเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี
ที่คนเป็นนายกฯ ไม่ยึดเอาความเหมาะสมและความรู้ความสามารถเป็นหลัก
นายกษิต ถึงจะเป็นอดีตทูตประจำหลายประเทศใหญ่ๆ แต่พฤติกรรมการไปร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดยึดสนามบิน ขึ้นเวทีด่าทอผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอย่างเสียๆ หายๆ
ก่อปัญหาให้กับรัฐบาลอย่างไร ก็เห็นกันอยู่
สำหรับนายวิทยา รมว.สาธารณสุขของเรานั้น เรียนจบมาทางด้านนิติศาสตร์ เคยยึดอาชีพทนายความมาช่วงหนึ่งก่อนจะเข้าสู่การเมือง มาเป็นทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์
จัดอยู่ในสายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคและผู้จัดการรัฐบาลคนปัจจุบัน
ตรวจสอบประวัติการทำงานแล้ว นายวิทยาไม่เคยข้องแวะกับกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด
ขนาดตอนเป็นรัฐมนตรีเงา ก็เป็นรัฐมนตรีเงากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
แต่พอพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นเพราะเกมการเมืองภายในพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลยตั้งนายวิทยาเป็นรมว.สาธารณสุข
ทั้งที่นายวิทยาไม่เคยมีความรู้ทางด้านนี้มาก่อน
พอเข้ามาเจองานยากอย่างเรื่องไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ก็เลยไปไม่เป็น
ไม่รู้จะแก้อย่างไร จับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะไม่มีความรู้พอจะมองปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
กว่าจะตั้งหลักได้ก็สายเกินไป
นี่แหละคือพิษร้ายของการตั้งรัฐมนตรีที่อิงอยู่กับระบบต่างตอบแทน เด็กเส้น เด็กฝาก เด็กใครเด็กมัน
แทนที่จะคำถึงถึงความรู้ความสามารถ
อยากฝากไว้ตรงนี้ขณะที่รัฐบาลกำลังโหมโฆษณายกใหญ่กับแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
ปลื้มอกปลื้มใจกับพันธบัตรกู้เงินเกือบแสนล้านที่ขายหมดเกลี้ยงภายในพริบตา
ทำอย่างกับว่าประเทศไทยเข้มแข็งขึ้นแล้วจริงๆ
ทั้งที่ความจริงประเทศจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อประชาชนในประเทศมีสุขภาพที่แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
หรืออย่างน้อย
ก็ไม่สมควรต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้หน้ากากอนามัยอย่างเช่นทุกวันนี้