WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, August 19, 2009

‘มาร์ค’ เชือด ‘ป๊อด’ ฤๅมุ่งหัก ‘ป้อม-ป๊อก’?

ที่มา บางกอกทูเดย์

เพราะท่าทีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่เดินหน้ารุกไล่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยไม่สนใจกระแสสังคม ไม่สนใจเสียงสะท้อนวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้นไม่มีแม้แต่กระทั่งอาการสะท้านสะเทือนต่อปฏิกิริยาของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนายทหารใหญ่ของกองทัพหลายๆ คน ที่คำรามฮึ่มฮั่มให้เห็นอย่างชัดเจน แบบไม่มีการเก็บอาการหรือกระมิดกระเมี้ยนใดๆทั้งสิ้น...ชัดเจนว่าไม่พอใจแต่สุดท้ายแรงกดดันต่างๆ ก็ไม่สามารถทำอะไรคนที่ชื่อ“อภิสิทธิ์” ได้และรวมไปถึงการไม่สนใจธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องของการแต่งตั้งรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ซึ่งกรณีที่พล.ต.อ.พัชรวาท เดินทางไปจีนแล้วมีการตั้งรักษาราชการแทนนั้นครั้งนั้นสังคมยังไม่ผิดสังเกตมากแค่ถามถึงความเหมาะสมของการเลือกคนที่จะรักษาราชการแทนเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ซึ่งไม่ใช่บุคคลที่อาวุโสสูงสุดซ้ำยังมีประเด็นที่สังคมสงสัยในเรื่องการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในส่วนพระราชวังด้วยรวมทั้งอาจจะมีกรณีทวงถามหาความยุติธรรมและความเหมาะสมจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์รอง ผบ.ตร.แต่จะเห็นว่านายอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน ยืนยันในอำนาจหน้าที่แห่งการเป็นนายกรัฐมนตรีว่าสามารถทำได้ยิ่งกรณีการตั้งรักษาราชการแทน ทั้งๆ ที่เดินทางไปราชการแค่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องการแต่งตั้งรักษาราชการแทนในลักษณะที่อยู่ในประเทศนั้นไม่เคยปรากฏหลักฐานมาก่อนเพราะปัจจุบันการติดต่อสื่อสารหรือแม้แต่การเดินทางภายในประเทศ ระยะทางแค่กรุงเทพฯ-สงขลา หาดใหญ่เครื่องบินใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น หากมีความจำเป็นเร่งด่วนจะบินไปบินกลับวันละ 2-3 เที่ยวก็ยังไหวดังนั้น กรณีการตั้งรักษาราชการแทนแบบนี้ จึงทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตมากขึ้นกว่าครั้งแรก...เพราะเห็นเจตนาและความจงใจอย่างชัดเจนยิ่งถึงขนาดที่ว่าหลังจากกลับจากราชการ 3 จังหวัดชายแดน

ภาคใต้แล้ว จะให้ไปราชการต่อที่ยุโรป เอากันชนิดที่ว่าแม้จะยังดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.อยู่ ไม่มีการโยกย้าย แขวน หรือปลดแต่ก็จะไม่ให้อยู่ทำหน้าที่ ผบ.ตร.อย่างเด็ดขาดด้วยท่าทีเช่นนี้แหละ ที่ทำให้ บางกอกทูเดย์ ต้องตั้งประเด็นคำถามว่าลงทุนลงแรง “หัก” กันขนาดนี้...อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงกันแน่???จากประเด็นสงสัยที่ถูกสังคมจับตามองเรื่องโผตำรวจเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย เรื่องการซื้อขายตำแหน่งเรื่องการรับสินบนซึ่งแม้ว่าเรื่องนี้จะบานปลาย มีการขยายวงในการกระเพื่อมให้สังคมหันมาจับตามองมากขึ้น โดยการให้ นายศิริโชค โสภาเจ้าของสมญา “วอลล์เปเปอร์” ออกมาเล่นบทแฉให้เรื่องนี้ครึกโครมมากขึ้น มีการส่งเอกสารพยานว่าเป็นหลักฐานเด็ดทั้งๆ ที่หากนายพลคนไหนซื้อขายตำแหน่งและรับสินบนโดยทำเหมือนกับแทงพนันโต๊ะบอล มีการตั้งโต๊ะรับสินบนมีเอกสารกระดาษบันทึกเอาไว้ว่า ซื้อตำแหน่งอะไร ใครซื้อไปในราคาเท่าไหร่ถ้าโง่ทำกันได้ถึงขนาดนั้น ก็สมควรถูกปลดและติดคุกหัวโตแล้วขนาดในยุคโบราณ นักการเมืองเก๋ารายหนึ่งซึ่งเป็นที่โจษขานกันมากในเรื่องของการคิดค่าหัวคิว การชักเปอร์เซ็นต์ ยุคนั้นยังไม่โง่ที่จะทำเป็นเอกสารเลยแต่ใช้วิธีการเขียนใส่ฝ่ามือแทน แล้วก็เขียนเป็นแค่ตัวเลข10 หรือ 20 หรือ 25แค่นั้นเอง คนที่ถูกยื่นมือให้ดูก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรไม่ต้องอธิบายให้มากความซึ่งหากเป็นสมัยนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบันของนายอภิสิทธิ์นี่แหละ ที่พูดกันให้แซ่ดในเวลานี้ก็คงต้องเขียนตัวเลข 35หรือ 40 หรือถ้าบ้าเลือดมากๆ ก็คง 50 เลยนั่นแหละแค่เห็นตัวเลขก็ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่

อยู่แล้ว...เหลือแค่ว่าจะสู้หรือไม่สู้เท่านั้นเองและตัวเลขบนฝ่ามือเจอเหงื่อหรือเจอถู เจอล้างก็ไม่เหลือซากจะเอาหลักฐานที่ไหนมาดังนั้น ประเด็นหลักฐานเด็ดของนายศิริโชค วอลล์เปเปอร์ก็คงต้องดูกันว่าสุดท้ายจะเจ๋งจริงสักเพียงใด???แต่ต้องไม่ลืมว่า จริงๆ แล้วข่าวลือหรือข้อครหาเรื่องซื้อขายวิ่งเต้นตำแหน่งหน้าที่ ไม่ใช่แต่เฉพาะวงการสีกากี หากวงการทหารวงการข้าราชการ ก็พูดกันมานานแล้ว ครหากันมานานแล้วคนอย่างนายอภิสิทธิ์ที่กว่าจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้จะไม่รู้เชียวหรือ?เพราะนายอภิสิทธิ์เริ่มต้นชีวิตการเมืองด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงให้กับ นายพิชัย รัตตกุล ในเขตคลองเตยช่วงปิดภาคเรียนที่กลับมาเมืองไทยจากนั้นก็ได้เข้าช่วยงานด้านวิชาการในเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกิจให้กับ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นส.ส.กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ.2535ซึ่งขณะนั้นนายอภิสิทธิ์มีอายุเพียงแค่ 27 ปีเท่ากับว่าอย่างน้อยนายอภิสิทธิ์อยู่ในแวดวงการเมืองเต็มตัวมามากกว่า 18 ปีแล้ว ผ่านตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมีตำรวจติดตามผ่านการได้เห็นได้รู้ หรือเชื่อว่าบางครั้งแม้แต่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายก็น่าจะมีเพราะปีหนึ่งอย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีโผโยกย้าย 2 ครั้งเสมอคือ โยกย้ายกลางปีกับโยกย้ายปลายปี แล้วแบบนี้เป็นไปได้หรือที่ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์จะไม่รู้เลยว่ามีเรื่องการวิ่งเต้นโยกย้ายเพื่อนสนิทของบิดานายอภิสิทธิ์ คือ หมอเพรา นิวาตวงศ์ก็เป็นคนที่รู้อะไรลึกๆ ในวงการตำรวจเยอะ มีหรือจะไม่เล่าขานตำนานตำรวจต่างๆ นานาให้ได้รับรู้...ที่สำคัญเชื่อแน่ว่านายอภิสิทธิ์ซึ่งมีดีกรีระดับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดจากอังกฤษ ซ้ำยังเคยทำงานเป็นอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยู่พักหนึ่งน่าจะต้องรู้เช่นเดียวกับที่ชาวบ้านร้านตลาดรู้อย่างแน่นอนด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้น้ำหนักที่ว่า นายอภิสิทธิ์จงใจแตกหักกับพล.ต.อ.พัชรวาท เพียงเพราะขัดใจเรื่องโผโยกย้ายตำรวจนั้นเบาหวิวเกินไป!!!

ถ้าเช่นนั้นอะไรคือเบื้องหลังที่แท้จริง ในการเดินหน้าปลดเงียบผบ.ตร. ของนายอภิสิทธิ์เมื่อย้อนกลับไปดูเบื้องแรกแห่งการขัดแย้งที่ทำให้นายอภิสิทธิ์เปิดเกมเดินหน้าโซ้ย พล.ต.อ.พัชรวาท แบบไม่ยั้งก็คือเรื่องของ คดีลอบสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุลซึ่งหากยังจำกันได้ นายอภิสิทธิ์มีการออกมาขานรับอย่างเต็มตัวในเรื่องของการสืบสวนที่ไม่คืบหน้า ในเรื่องของการสะดุด “ตอ”สอดรับกับการนำเสนอและเปิดประเด็นอยู่ตลอดเวลาของสื่อในค่ายนายสนธิ ไม่ว่าจะเป็น ทาง ASTV หรือทางสื่อสิ่งพิมพ์ ที่สามารถนำเสนอรายละเอียดสำนวนคดีได้อย่างละเอียดยิบ ราวกับมีสำนวนอยู่ในมือหรือมีการรายงานตรงอยู่ตลอดเวลากระนั้นทั้งๆ ที่ผู้ที่รับผิดชอบดูแลคดีนั้นถูกมอบหมายให้รายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งแม้แต่ ผบ.ตร. เผลอๆ อาจจะยังไม่มีสำนวนละเอียดเท่านี้ก็เป็นได้จะเห็นว่าประเด็นหลักในการนำเสนอของสื่อนายสนธิจะมีการ พุ่งเป้าไปที่ ฉก.90 ว่าเป็นมือปฏิบัติการในคดีนี้ซึ่งในแวดวงกองทัพรู้กันดีอยู่ว่า บุคคลระดับที่จะสั่งการโดยตรงกับ ฉก.90 ได้นั้น อย่างมากก็มีแค่ 1-2 คนเป็นหลักเท่านั้นด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้เมื่อสื่อนายสนธิหรือเมื่อแกนนำม็อบพันธมิตรฯ ออกมากดดัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาผู้บัญชาการกองทัพบก ว่าไม่ยอมแสดงบทบาทใดๆ เลยนั้นทำให้เกิดภาพจิ๊กซอว์ว่า หรือเรื่องนี้มีการพุ่งเป้าไปที่พล.อ.อนุพงษ์ ด้วย???เพราะแน่นอน ผบ.ทบ. ก็คือคนหนึ่งที่สามารถจะสั่งการกับฉก.90 ได้ด้วยเช่นกันยิ่งมีการเปิดประเด็นผ่านสื่อนายสนธิว่า หลังลงมือแล้วทีมปฏิบัติการได้มีการโทรศัพท์ไปหา คนสำคัญในกองทัพที่เป็นระดับสูงหรือใกล้เคียงกับคนที่ว่า สั่งการ ฉก.90ได้ด้วยอีก ยิ่งเป็นการพุ่งประเด็นใส่อย่างชัดเจนแน่นอนว่า หากแนวทางการสืบสวนที่แท้จริง รายละเอียดต่างๆเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่สื่อของกลุ่ม ASTV นำเสนอ

บุคคลที่จะกระทบกระเทือนและอาจจะสูญเสียสถานภาพตลอดจนภาพลักษณ์มากที่สุดก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.นั่นเองเพราะทั้งคู่ คือ ผู้ที่ต้องดูแลรับผิดชอบบังคับบัญชากองทัพโดยตรงถ้าเป้าหมายเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องนี้ก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าทำไม พล.ต.อ.พัชรวาท จึงถูกมองว่า ไม่สามารถให้นั่งอยู่ในตำแหน่ง ระหว่างที่ผลักดันการสอบสวนคดีอย่างเร่งรีบได้เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บิ๊กป๊อดก็คือน้องชายร่วมสายเลือดของบิ๊กป้อมฝ่ายที่ตั้งประเด็นย่อมต้องสะกิดให้นายอภิสิทธิ์เห็นว่า การที่พล.ต.อ.พัชรวาท นั่งอยู่ การที่จะให้คดีพุ่งไปถึงเป้าที่ต้องการได้นั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ว่าอย่างไร “เลือดก็ย่อมต้องข้นกว่าน้ำ”เสมอหรือนี่คือแรงกดดันที่แท้จริงที่ทำให้นายอภิสิทธิ์จำเป็นต้องเล่นเกมชน พล.ต.อ.พัชรวาท แม้ว่าจะต้องหักกับ พล.อ.ประวิตรแม้ว่าจะต้องขัดใจอย่างหนักกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณซึ่งนายอภิสิทธิ์เองมอบหมายให้นายสุเทพเป็นคนดูแลตำรวจมาตั้งแต่เริ่มเป็นรัฐบาลนั่นแปลว่าจริงๆ นายอภิสิทธิ์ไม่ได้คิดที่จะมาดูแลตำรวจโดยตรงมาตั้งแต่แรกเลยสักนิดแต่ที่ต้องมายุ่งตรงนี้ ก็เป็นเพราะคดีของนายสนธินั่นเองปัญหาก็คือถ้ากลไกที่ผลักดันให้ นายอภิสิทธิ์ดับเครื่องชนแบบไม่ยี่หระ มุมมองของสังคมเช่นนี้มีการพุ่งเป้าไปที่พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ จริงๆอะไรคือเหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งการนั้น???หรือนี่จะเป็นวิธีการในการสลายขั้วอำนาจใดๆ ก็ตามที่ถูกต้องสงสัย ถูกหวาดระแวง หรือถูกมองว่าจะมาเทียบรัศมีเพื่อให้ขั้วอำนาจบางขั้วสามารถอยู่ยั้งยืนยงต่อไปได้ เหมือนที่พยายามยึดกุมมาตลอดถ้าจริงต้องถือเป็นเกมการเมือง เกมยึดกุมกองทัพที่อำมหิตไม่น้อยเลยจริงๆพรุ่งนี้ติดตามการวิเคราะห์ต่อ...ว่าเกมนี้ใครจะอยู่ใครจะไป...และที่สำคัญใน 1 กองทัพ ควรจะมีคนเป็นใหญ่ได้กี่คน???ฉบับพรุ่งนี้ห้ามพลาด!! ■