ที่มา บางกอกทูเดย์
ได้เป็นรัฐบาลดั่งใจหวัง! สำหรับพรรคประชาธิปัตย์..เฉียด 200 วันแล้วสำหรับการขับเคลื่อนประเทศ แต่“ผลงาน” ก็ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย ตามที่แม่ทัพ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี พร้อมขุนพล “ประกาศ” ไว้ตั้งแต่ต้น..การทำงานในแต่ละวันคงเป็น “บทเรียน” สอนใจให้รู้ว่าการบริหารประเทศมันไม่ใช่ “โจ๊กหมูสับ” อย่างที่ “คิด”แต่มันคือ “หมูป่าผัดเผ็ด” ทั้งเหนียว ทั้งเผ็ด แถมหายากอีกต่างหากมองไปข้างหน้า อีกเพียง 4 เดือน จะก้าวเข้าสู่ศักราช2553รัฐบาลมาร์คก็ยังต้อง “เหนื่อยหอบลิ้นห้อย” กับ “ภารกิจ”ที่ยัง “ค้างเติ่ง” สนิมเกาะอยู่อีกเพียบ!!
มีอะไรบ้าง? ทวนความจำกันสักหน่อย...การฟื้นฟูวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติการเมือง!! เรื่องนี้รัฐบาลมาร์คประกาศจะดำเนินการในปีแรก เพื่อชี้วัดศักยภาพรัฐบาล..โดยรัฐบาลแบ่งนโยบายเร่งด่วนออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆคือ (1) การสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ภาคประชาชนและเอกชนในการลงทุนและการบริโภค (2) การรักษาและเพิ่มรายได้ของประชาชน(3) การลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และ (4) การจัดตั้งคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจและคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.)นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลมาร์ค คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยมีการวางยุทธวิธีอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไม่ยั้ง!! กระทั่ง “คลัง” ต้องระดม “งบประมาณ” กันจ้าละหวั่นสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในภาวะ “ชักหน้าไม่ถึงหลัง”กันทั้งเมือง..การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระดับชาวบ้านในเรื่องการลดรายจ่ายอาทิ การเพิ่มรายได้ การแก้ไขปัญหาว่างงาน การประกันราคาผลผลิตการเกษตร การควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเชื้อเพลิง และการบริการ ฯลฯ ทุกนโยบายยัง “คาราคาซัง”ไร้เป้าหมายการสร้างความสมานฉันท์และความสามัคคีของคนในชาติและการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เวลานี้ปัญหาก็ยัง “คุกรุ่น” แถมแบ่งแยกออกเป็นหลายสีหลายพวก ที่มากกว่าแดงกับเหลืองปัญหาความแตกแยกเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีการบ่มเพาะจนกลายเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทย หากรัฐบาลจะ “สะสาง” ชำระล้างความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนที่มีความเห็นแตกต่างกันนั้นมันไม่ใช่เรื่องยาก!! เพียงแต่ต้อง “ยุติธรรม”คดีเหลือง–แดง ต้อง “สะสาง” ไปตามกฎหมาย ไม่ใช่กำจัดแดงให้สิ้นซากและเหลือเหลืองไว้ฝ่ายเดียวเพื่อเป็นการยุติความขัดแย้งประชาธิปัตย์ต้องเป็นรัฐบาลมือสะอาด ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่นหรือไม่ส่อว่าคิดจะทุจริตคอร์รัปชั่น เรื่องนี้รัฐบาลมาร์คส่อแวว“ล่มไม่เป็นท่า”
ตั้งแต่หยิบเอาความสามารถ “กษิต ภิรมย์” มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ..แถมมีกลิ่นฉาวเรื่องคาวๆ ของโครงการชุมชนพอเพียง ที่มีขุนพลพรรคประชาธิปัตย์เป็นทั้งตัวเสิร์ฟ ตัวตบ เรียกว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแค่พรรคเดียวไม่นับรวมกระทรวงที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะมีกลิ่นฉาวคาวคลุ้งเรื่องคอร์รัปชั่น อาทิโครงการรถเมล์ 4,000 คันภายใต้การ “ผลักดัน ”อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูของ “โสภณ ซารัมย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหน้าคะมำหงาย! ไปหลายตลบ เพราะนายกรัฐมนตรีต้องการ“ความโปร่งใส”ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน! ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะ“ขับเอ็นจีวี 4,000 คัน” พุ่งเข้าชนคณะรัฐมนตรี เพื่อขอทางวิ่งเมล์โดยสารอภิสิทธิ์ต้องจับตาเป็นพิเศษ! ว่ากันว่า “ซารัมย์” อาจกลายเป็น“ซาเล้ง” เพราะคนวางแผนจะ “กินรวบ” แต่เพียงผู้เดียว..ประชุม ครม.นัดหน้า ไม่แน่อาจฉลุย!! เพราะรายการ “กินแบ่ง”เริ่มลงตัวจับตา!! ต่อไป “รัฐบาลมาร์ค” จะ “มือสะอาด” ได้อย่าง“ลมปาก” หรือไม่??คะแนนนิยมท่วมท้น! เมื่อแรกเริ่มที่รัฐบาลมาร์คขึ้นแท่น “บริหาร”มิใช่ “มาตรวัดศักยภาพ” เพราะโดยปกติทั่วไป ผู้นำทุกประเทศในโลกจะได้คะแนนนิยมจากการสำรวจของสำนักโพลต่างๆอยู่ในเกณฑ์สูงหรือค่อนข้างสูงทั้งนี้ เพราะผลสำรวจมาจากความหวังว่า รัฐบาลจะเข้ามาแก้ไขปัญหาได้เรียบร้อยแต่เมื่อบริห ารประเทศไปนานๆ คะแนนนิยมจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆเพราะการทำงานย่อมมีอุปสรรค ปัญหา โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาระดับชาติท่ามกลางพลเมืองของประเทศหลายล้านคนยิ่งรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ! เข้ามาด้วยบารมีมิใช่ความสามารถความเหมาะสม..ประเทศชาติยิ่ง วิ่งถอยหลังลงเหว หรือหากเจอประเภท มั่วนิ่มทำงาน ล้วงลูกเพื่อตอบแทนบุญคุณ ทำผิดแต่บอกว่าถูก อย่างนี้ “ลาตาย” เลยดีกว่าเอาเป็นว่า “ลมปาก” ที่รัฐบาลมาร์ค “พ่น” ไว้..เอาให้เป็นจริงเผื่อมันจะเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้ประชาชนได้ “แฮปปี้” กันถ้วนหน้า■