ที่มา Thai E-News
แทบจะไม่มีใครนึกฝันว่า กระบวนการลงชื่อถวายฎีกากรณีคุณทักษิณ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เบาบางที่สุดแล้วในเส้นทางอันยาวไกล จะทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยเกิด “วินาศกาเล วิปริตพุทธิ” ขึ้นมาอย่างกะทันหันอย่างนี้
เห็นปัญญาแปรปรวนวิปลาสไป ทำให้ฉุกคิดว่าถึงคราววินาศเสียแล้วล่ะกระมัง
อำมาตย์ไม่รู้หรอกหรือว่า ชาวประชาธิปไตยที่เอาจริงเอาจังเขาไม่ได้เห็นด้วยกับฎีกาทุกคน แต่เงียบสงบกันอยู่ตลอดมานี้ก็เพราะเห็นว่าสังคมไทยต้องเดินไปตามวงเวียนกรรมของตนเองเสียก่อนที่จะเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าทุกข์ทางการเมืองในขณะนี้เกิดจากอะไร
ผิดหวังอีกสักรอบหนึ่งอาจจะเป็นการศึกษาที่ดีว่าการต่อสู้ตามสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ กับการลดความเป็นมนุษย์ของตนเองลงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการนั้น มีความแตกต่างกันนักหนา
การต่อสู้ย่อมเหนื่อยยาก ยาวนาน แต่ยั่งยืน
การขอร้องนั้นเร็วทันใจและดูเหมือนได้ผล แต่เขาจะเอากลับคืนไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ตามในระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ อำนาจสูงสุดที่เป็นของปวงชน เสรีภาพส่วนบุคคล สังคมเสมอภาค หลักกฎหมาย และผู้ใช้อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่สังคมของเรามีคนมากมายและหลากหลาย กว่าจะเกิดแนวคิดที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างที่เรียกว่าฉันทามตินั้น บางครั้งต้องยอมให้เจ็บตัวบ้าง เหมือนเด็กเล็กที่ต้องหกล้มสักครั้งสองครั้งก่อนจะเรียนรู้ว่าพื้นคอนกรีตนั้นมันแข็งและไม่ควรปล่อยตัวให้หกล้ม
พลังประชาธิปไตยที่รอคอยอย่างเงียบสงบในกระบวนการถวายฎีกา รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นการศึกษาของสังคม โอกาสที่จะได้มาซึ่งทางออกอย่างยั่งยืนและระบอบประชาธิปไตยแท้จริงด้วยวิธีการอย่างนี้แทบจะไม่เห็นทาง แต่ก็ต้องให้สาธุชนทั้งหลายรู้เองด้วยประสบการณ์ส่วนตัว บอกล่วงหน้าไม่ได้
คนกำลังหลงใหลอะไร อย่าไปขัดคอขัดใจให้เกิดโกรธเคืองกันเลยครับ ความหลงถูกทำลายได้ไม่ยากด้วยความจริง เราไม่ควรห่วงใยจนเกินเหตุนัก
ความจริงที่ว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เป็นที่พึ่งที่หวังได้เลยสำหรับฝ่ายประชาธิปไตย เพราะใช้เวลาตลอดชีวิตในการบดขยี้ทำลายล้างให้เป็นภัสมธุลี ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตเหลือที่จะกล่าวนั้น เป็นความจริงที่เจ็บปวด ฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อขาวอีกเป็นจำนวนมากยังปลงใจเชื่อไม่ได้ และยังฝันว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นคำตอบที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยสถิตสถาพรได้
สมการง่ายๆ ว่าฝ่ายอำมาตย์คือผู้ทำลายประชาธิปไตย และประชาธิปไตยจะเกิดและอยู่ถาวรได้ในประเทศนี้ต่อเมื่อฝ่ายอำมาตย์ต้องพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด ยังไม่ใช่สมการที่ผู้คนส่วนใหญ่หรือจำนวนมากพอเข้าใจและยอมรับ
เราจึงต้องใจเย็น
ผมถูกป้ายสีมาตั้งแต่ออกจากเมืองไทยว่า เป็นคนประเภทใช้กำลัง เพราะไปเอ่ยถึงเรื่องการจัดตั้งกองกำลังเพื่อเตรียมสู้รบกับฝ่ายอำมาตย์ในการให้สัมภาษณ์ ทั้งๆ ที่พูดสื่อความหมายในทางตรงข้ามว่า ฝ่ายอำมาตย์ไม่ควรบีบบังคับฝ่ายประชาชนให้ถึงขั้นคิดใช้และจัดตั้งกองกำลังเลย
พูดเตือนสติกับสุนัขบ้าที่กำลังน้ำลายฟูมปาก มันก็กัดเข้าให้
ขณะนี้ได้นำบทเรียนนี้มาขบคิดใคร่ครวญและฉีดวัคซีนรอบสะดือไว้แล้วเรียบร้อยโรงเรียนไทยแล้วครับ อย่าได้เป็นห่วง เชื่อเถิดว่า ความวุ่นวายในหมู่อำมาตย์จนชีวิตกลายเป็นจลาจลในขณะนี้ จะเป็นคุณอย่างมากต่อการยอมรับความจริงที่หลีกเลี่ยงมิได้ของฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่าถวายฎีกาแล้วจะเกิดปฏิกิริยาอย่างหนักหน่วงจากฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๒ จำพวก
หนึ่ง-อำมาตย์ใหญ่และคนวงใน จะทำท่าเงียบเฉยจนดูเหมือนให้ความร่วมมือ แต่รอเวลาที่จะตลบหลังเปลี่ยนฉากทำให้คนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยกลายเป็นผู้ร้ายไป
สอง-อำมาตย์ระดับกลางและระดับปฏิบัติการจะวิ่งวุ่น แสดงออกโต้งๆ เลยว่าไม่สามารถอดทนต่อกระบวนการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงได้ เพราะรู้ดีว่ากำลังเสี่ยงภัยมหาศาล ถ้าอำมาตย์ใหญ่เกิดรับลูกฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมา จะจริงใจหรือไม่ก็ช่างเถิด ตัวเองอาจถูกจับบูชายัญแทนเจ้านายผู้เป็นอำมาตย์ใหญ่ที่หาทางลงไม่ได้ หรือถ้าอำมาตย์ใหญ่วางแผนตลบหลังคนเสื้อแดงเสียเอง ก็จะได้หน้าว่าออกมาช่วยอำมาตย์ใหญ่ตั้งแต่ต้น
เราจึงเห็นหน้าของคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ คุณอานันท์ ปันยารชุน คุณสุรพล นิติไกรพจน์ ฯลฯ ในบัดนี้ เพราะเป็นฤดูกาลหาเสียงของฝ่ายอำมาตย์เขา
ไม่มีทางเลยที่วิกฤติการเมืองครั้งนี้จะจบลงด้วยความยอมรับนับถือในทัศนะของประชาชน เพราะหากมี DNA ประชาธิปไตยอยู่ในตัวบ้าง คงไม่จุดไฟเผาเมืองตัวเองจนเป็นจุลมหาจุลอย่างนี้มาแต่ต้น
การปะทะระหว่างกลุ่มมวลชนเป็นไปได้ ตั้งแต่ปะทะใหญ่โตเป็น ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จนถึงปะทะน้อยๆ แต่สร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวในโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และเว็ปของฝ่ายอำมาตย์ จนประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าสถานการณ์ไร้การควบคุม และยอมให้จัดตั้งรัฐบาลพิเศษขึ้นมาปกครองในรูปแบบที่ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖
คนเสื้อแดงถูกทำลายภาพลักษณ์จนกลายเป็นผู้ร้าย คิดโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยฎีกาที่ยกขบวนกันไปยื่น ทำลายชื่อเสียงกลางเมืองกันอย่างนั้นก็เป็นไปได้
และจนถึงใช้วิธีรัฐประหาร ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวที่ยังไม่ออกมาแสดงท่าทีในเรื่องฎีกา อาจจะรอทำผลงานทีเดียวหลังจากที่กลไกอื่นๆ ทำลายภาพลักษณ์ของฝ่ายประชาธิปไตยจนย่อยยับแล้ว เหมือนใช้วิทยุยานเกราะ หนังสือพิมพ์อย่างดาวสยามและบางกอกโพสต์ก่อนเหตุการณ์โหดเหี้ยม ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ จนนักศึกษาในที่ชุมนุมกลายเป็นญวนเป็นแกว และคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเมืองไทยด้วยกำลังอาวุธ
ละครแบบนี้เล่นมาหลายรอบแล้ว และเขาก็เชื่อมั่นว่ายังได้ผล
เมื่อเขายังเชื่อมั่นอย่างนั้น เราก็ต้องระมัดระวัง
บทความที่เขียนอยู่นี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์ทันเวลาหรือไม่
แต่บอกไว้ตรงนี้ว่าอะไรที่พลาดมาจาก ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ เราจะนำมาเป็นบทเรียนและทำเสียให้แตกต่างในครั้งนี้
เลิกเอาไข่ใส่ในตะกร้าเดียวกันเหมือนที่มั่นใจว่ามีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเหลือเฟือ และลืมสร้างกลไกอื่นๆ นอกสภาเอาไว้สู้
กลับมาสนับสนุนขบวนการและกลุ่มประชาธิปไตยเสื้อแดงและเสื้อขาวที่กระจายกำลังกันอยู่แล้วทั่วประเทศและทั่วโลกอย่างเต็มที่ เพราะเขาคือพระเอกนางเอกตัวจริง
คนที่เป็น ส.ส. และคนที่อยากเป็น ก็เข้าช่วยเขาในเขตนั้นๆ ด้วยกำลังปัญญา กำลังทรัพย์ และกำลังใจ โดยใช้ความสามารถในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเข้าไปสมทบ
อารยะขัดขืน เอามาใช้ให้เต็มที่
และรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งขึ้นมาสวนควันปืนทันที
เรื่องอื่นๆ ขอเก็บไว้หน่อย ปล่อยให้ (อำมาตย์) งง.
-------------------------------
โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 12
22 สิงหาคม 2552
อารยะขัดขืน เอามาใช้ให้เต็มที่ และรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งขึ้นมาสวนควันปืนทันที เรื่องอื่นๆ ขอเก็บไว้หน่อย ปล่อยให้ (อำมาตย์) งง
แทบจะไม่มีใครนึกฝันว่า กระบวนการลงชื่อถวายฎีกากรณีคุณทักษิณ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เบาบางที่สุดแล้วในเส้นทางอันยาวไกล จะทำให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยเกิด “วินาศกาเล วิปริตพุทธิ” ขึ้นมาอย่างกะทันหันอย่างนี้
เห็นปัญญาแปรปรวนวิปลาสไป ทำให้ฉุกคิดว่าถึงคราววินาศเสียแล้วล่ะกระมัง
อำมาตย์ไม่รู้หรอกหรือว่า ชาวประชาธิปไตยที่เอาจริงเอาจังเขาไม่ได้เห็นด้วยกับฎีกาทุกคน แต่เงียบสงบกันอยู่ตลอดมานี้ก็เพราะเห็นว่าสังคมไทยต้องเดินไปตามวงเวียนกรรมของตนเองเสียก่อนที่จะเกิดความเข้าใจทะลุปรุโปร่งว่าทุกข์ทางการเมืองในขณะนี้เกิดจากอะไร
ผิดหวังอีกสักรอบหนึ่งอาจจะเป็นการศึกษาที่ดีว่าการต่อสู้ตามสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์ กับการลดความเป็นมนุษย์ของตนเองลงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการนั้น มีความแตกต่างกันนักหนา
การต่อสู้ย่อมเหนื่อยยาก ยาวนาน แต่ยั่งยืน
การขอร้องนั้นเร็วทันใจและดูเหมือนได้ผล แต่เขาจะเอากลับคืนไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็ตามในระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ อำนาจสูงสุดที่เป็นของปวงชน เสรีภาพส่วนบุคคล สังคมเสมอภาค หลักกฎหมาย และผู้ใช้อำนาจรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่สังคมของเรามีคนมากมายและหลากหลาย กว่าจะเกิดแนวคิดที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างที่เรียกว่าฉันทามตินั้น บางครั้งต้องยอมให้เจ็บตัวบ้าง เหมือนเด็กเล็กที่ต้องหกล้มสักครั้งสองครั้งก่อนจะเรียนรู้ว่าพื้นคอนกรีตนั้นมันแข็งและไม่ควรปล่อยตัวให้หกล้ม
พลังประชาธิปไตยที่รอคอยอย่างเงียบสงบในกระบวนการถวายฎีกา รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นการศึกษาของสังคม โอกาสที่จะได้มาซึ่งทางออกอย่างยั่งยืนและระบอบประชาธิปไตยแท้จริงด้วยวิธีการอย่างนี้แทบจะไม่เห็นทาง แต่ก็ต้องให้สาธุชนทั้งหลายรู้เองด้วยประสบการณ์ส่วนตัว บอกล่วงหน้าไม่ได้
คนกำลังหลงใหลอะไร อย่าไปขัดคอขัดใจให้เกิดโกรธเคืองกันเลยครับ ความหลงถูกทำลายได้ไม่ยากด้วยความจริง เราไม่ควรห่วงใยจนเกินเหตุนัก
ความจริงที่ว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่เป็นที่พึ่งที่หวังได้เลยสำหรับฝ่ายประชาธิปไตย เพราะใช้เวลาตลอดชีวิตในการบดขยี้ทำลายล้างให้เป็นภัสมธุลี ด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตเหลือที่จะกล่าวนั้น เป็นความจริงที่เจ็บปวด ฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อขาวอีกเป็นจำนวนมากยังปลงใจเชื่อไม่ได้ และยังฝันว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยเป็นคำตอบที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยสถิตสถาพรได้
สมการง่ายๆ ว่าฝ่ายอำมาตย์คือผู้ทำลายประชาธิปไตย และประชาธิปไตยจะเกิดและอยู่ถาวรได้ในประเทศนี้ต่อเมื่อฝ่ายอำมาตย์ต้องพ่ายแพ้อย่างเด็ดขาด ยังไม่ใช่สมการที่ผู้คนส่วนใหญ่หรือจำนวนมากพอเข้าใจและยอมรับ
เราจึงต้องใจเย็น
ผมถูกป้ายสีมาตั้งแต่ออกจากเมืองไทยว่า เป็นคนประเภทใช้กำลัง เพราะไปเอ่ยถึงเรื่องการจัดตั้งกองกำลังเพื่อเตรียมสู้รบกับฝ่ายอำมาตย์ในการให้สัมภาษณ์ ทั้งๆ ที่พูดสื่อความหมายในทางตรงข้ามว่า ฝ่ายอำมาตย์ไม่ควรบีบบังคับฝ่ายประชาชนให้ถึงขั้นคิดใช้และจัดตั้งกองกำลังเลย
พูดเตือนสติกับสุนัขบ้าที่กำลังน้ำลายฟูมปาก มันก็กัดเข้าให้
ขณะนี้ได้นำบทเรียนนี้มาขบคิดใคร่ครวญและฉีดวัคซีนรอบสะดือไว้แล้วเรียบร้อยโรงเรียนไทยแล้วครับ อย่าได้เป็นห่วง เชื่อเถิดว่า ความวุ่นวายในหมู่อำมาตย์จนชีวิตกลายเป็นจลาจลในขณะนี้ จะเป็นคุณอย่างมากต่อการยอมรับความจริงที่หลีกเลี่ยงมิได้ของฝ่ายประชาธิปไตย
ไม่เกินจริงเลยที่จะบอกว่าถวายฎีกาแล้วจะเกิดปฏิกิริยาอย่างหนักหน่วงจากฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๒ จำพวก
หนึ่ง-อำมาตย์ใหญ่และคนวงใน จะทำท่าเงียบเฉยจนดูเหมือนให้ความร่วมมือ แต่รอเวลาที่จะตลบหลังเปลี่ยนฉากทำให้คนเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยกลายเป็นผู้ร้ายไป
สอง-อำมาตย์ระดับกลางและระดับปฏิบัติการจะวิ่งวุ่น แสดงออกโต้งๆ เลยว่าไม่สามารถอดทนต่อกระบวนการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงได้ เพราะรู้ดีว่ากำลังเสี่ยงภัยมหาศาล ถ้าอำมาตย์ใหญ่เกิดรับลูกฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมา จะจริงใจหรือไม่ก็ช่างเถิด ตัวเองอาจถูกจับบูชายัญแทนเจ้านายผู้เป็นอำมาตย์ใหญ่ที่หาทางลงไม่ได้ หรือถ้าอำมาตย์ใหญ่วางแผนตลบหลังคนเสื้อแดงเสียเอง ก็จะได้หน้าว่าออกมาช่วยอำมาตย์ใหญ่ตั้งแต่ต้น
เราจึงเห็นหน้าของคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ คุณอานันท์ ปันยารชุน คุณสุรพล นิติไกรพจน์ ฯลฯ ในบัดนี้ เพราะเป็นฤดูกาลหาเสียงของฝ่ายอำมาตย์เขา
ไม่มีทางเลยที่วิกฤติการเมืองครั้งนี้จะจบลงด้วยความยอมรับนับถือในทัศนะของประชาชน เพราะหากมี DNA ประชาธิปไตยอยู่ในตัวบ้าง คงไม่จุดไฟเผาเมืองตัวเองจนเป็นจุลมหาจุลอย่างนี้มาแต่ต้น
การปะทะระหว่างกลุ่มมวลชนเป็นไปได้ ตั้งแต่ปะทะใหญ่โตเป็น ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จนถึงปะทะน้อยๆ แต่สร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวในโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และเว็ปของฝ่ายอำมาตย์ จนประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าสถานการณ์ไร้การควบคุม และยอมให้จัดตั้งรัฐบาลพิเศษขึ้นมาปกครองในรูปแบบที่ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖
คนเสื้อแดงถูกทำลายภาพลักษณ์จนกลายเป็นผู้ร้าย คิดโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยฎีกาที่ยกขบวนกันไปยื่น ทำลายชื่อเสียงกลางเมืองกันอย่างนั้นก็เป็นไปได้
และจนถึงใช้วิธีรัฐประหาร ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน เพราะกองทัพเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวที่ยังไม่ออกมาแสดงท่าทีในเรื่องฎีกา อาจจะรอทำผลงานทีเดียวหลังจากที่กลไกอื่นๆ ทำลายภาพลักษณ์ของฝ่ายประชาธิปไตยจนย่อยยับแล้ว เหมือนใช้วิทยุยานเกราะ หนังสือพิมพ์อย่างดาวสยามและบางกอกโพสต์ก่อนเหตุการณ์โหดเหี้ยม ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ จนนักศึกษาในที่ชุมนุมกลายเป็นญวนเป็นแกว และคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเมืองไทยด้วยกำลังอาวุธ
ละครแบบนี้เล่นมาหลายรอบแล้ว และเขาก็เชื่อมั่นว่ายังได้ผล
เมื่อเขายังเชื่อมั่นอย่างนั้น เราก็ต้องระมัดระวัง
บทความที่เขียนอยู่นี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์ทันเวลาหรือไม่
แต่บอกไว้ตรงนี้ว่าอะไรที่พลาดมาจาก ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ เราจะนำมาเป็นบทเรียนและทำเสียให้แตกต่างในครั้งนี้
เลิกเอาไข่ใส่ในตะกร้าเดียวกันเหมือนที่มั่นใจว่ามีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเหลือเฟือ และลืมสร้างกลไกอื่นๆ นอกสภาเอาไว้สู้
กลับมาสนับสนุนขบวนการและกลุ่มประชาธิปไตยเสื้อแดงและเสื้อขาวที่กระจายกำลังกันอยู่แล้วทั่วประเทศและทั่วโลกอย่างเต็มที่ เพราะเขาคือพระเอกนางเอกตัวจริง
คนที่เป็น ส.ส. และคนที่อยากเป็น ก็เข้าช่วยเขาในเขตนั้นๆ ด้วยกำลังปัญญา กำลังทรัพย์ และกำลังใจ โดยใช้ความสามารถในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายเข้าไปสมทบ
อารยะขัดขืน เอามาใช้ให้เต็มที่
และรัฐบาลพลัดถิ่น ต้องตั้งขึ้นมาสวนควันปืนทันที
เรื่องอื่นๆ ขอเก็บไว้หน่อย ปล่อยให้ (อำมาตย์) งง.
-------------------------------
TPNews (Thai People News): ข่าวสารสำหรับผู้รักประชาธิปไตย เที่ยงตรง แม่นยำ ส่งตรงถึงมือถือทุกวัน สมัครวันนี้ ใช้ฟรี 14 วัน พิมพ์ PN ส่งมาที่เบอร์ 4552146 ทุกระบบ เพียง 29 บาท/เดือน (เฉพาะ DTAC 30 บาท/เดือน) Call center: 084-4566794-6 (จ.- ศ. 9.30-17.30 น.)