ที่มา thaifreenews
วันที่ 17 ก.ย. 2552 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะผู้พิพากษาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวตกเป็นของแผ่นดิน ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานฝ่ายผู้คัดค้าน ซึ่งพยานฝ่ายผู้คัดค้านที่ขึ้นเบิกความคือ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ
“เอม” เบิกความซื้อหุ้นจากพี่ชาย 2 ครั้ง
น.ส.พินทองทาเบิกความสรุปได้ว่า ได้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปจากนายพานทองแท้ ชินวัตร ซึ่งเป็นพี่ชาย 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2545 เป็นเงิน 367 ล้านบาท โดยนำเงินที่มารดามอบให้เป็นของขวัญวันเกิด 370 ล้านบาทไปจัดซื้อในราคาพาร์ ส่วนการซื้อครั้งที่สองนำเงินที่ได้จากการปันผลจากหุ้นซึ่งได้มา 165 ล้านบาทไปซื้อหุ้นบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทชินคอร์ปในวงเงิน 110 ล้านบาท โดยมอบหมายให้นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการของมารดา เป็นผู้ดำเนินการด้านเอกสาร
ซื้อหุ้นจริงไม่ได้ถือแทนใคร
ทั้งนี้ ในการประชุมผู้ถือหุ้นทุกครั้งจะมอบหมายให้ทนายความไปประชุมแทน ซึ่งทำเหมือนที่บิดา มารดา และพี่ชายทำ จึงไม่ใช่เหตุผลที่มากล่าวหาว่าไม่ใช่ผู้ถือหุ้นตัวจริง และที่ผ่านมาไม่เคยร้องขอเข้าไปเป็นผู้บริหารบริษัท เพราะบริษัทมีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นลุงบริหารอยู่แล้ว และบริษัทมีผลประกอบการดี โดยระหว่างปี 2546-2548 ได้รับเงินปันผลจากการถือหุ้นถึง 2,000 ล้านบาท เงินที่ได้มาก็นำไปฝากในธนาคารต่างๆและลงทุนในบริษัทส่วนตัว ไม่เคยนำไปให้บิดามารดา เพราะทั้งสองท่านไม่ได้ยากลำบาก
ขายให้เทมาเส็กตัดสินใจด้วยตัวเอง
ส่วนการตัดสินใจขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กองทุนเทมาเส็กเป็นเพราะเห็นด้วยกับนายบรรณพจน์ เนื่องจากมองว่าในอนาคตการแข่งขันทางธุรกิจจะมีสูง และเมื่อปรึกษาพี่ชายแล้วก็ตกลงที่จะขายเช่นกัน เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ปรึกษาบิดามารดา ซึ่งทั้งสองท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เงินที่ได้จากการขายหุ้น 29,696 ล้านบาทนำฝากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสำนักรัชโยธิน โดยก่อนหน้านั้นมียอดคงเหลือในบัญชีประมาณ 1,700 ล้านบาท ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่ระบุว่ามีการโยกย้ายเงินที่ได้มาจากการขายหุ้นจึงไม่เป็นความจริง
ตั้งใจนำเงินไปเพิ่มทุนบริษัทที่อังกฤษ
“ตั้งใจว่าจะนำเงินที่ได้มาลงทุนในบริษัทส่วนตัวที่ตั้งขึ้นในประเทศอังกฤษ ชื่อบริษัท ชินวัตรแฟมิลี่แอสแซท จำกัด ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีบริษัทลูกอยู่ 4 บริษัท และตั้งใจว่าจะเอาเงินที่ได้ไปจดทะเบียนเพิ่มทุนให้ทุกบริษัทมีทุนเท่ากัน แต่การเงินเพิ่มทุนทั้ง 4 บริษัทถูกอายัด โดยระบุว่าตนไม่ใช่เจ้าของ เงินที่จ่ายไปจึงไม่ถูกต้อง” น.ส.พินทองทากล่าว
ลงขันกับพี่ให้เงินพ่อทำเหมืองเพชร
น.ส.พินทองทากล่าวอีกว่า การลงทุนเหมืองเพชรของบิดาเป็นเงินของตนและพี่ชายที่ได้จากการขายสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อไม่ให้ท่านเหงาและเครียด เรื่องที่ว่าบิดาถูกอายัดเงินที่อังกฤษจึงไม่เป็นความจริง เพราะบิดาไม่มีทรัพย์สินที่นั่น มีเพียงอพาร์ตเมนต์ของตนราคาประมาณ 60-70 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่ว่าบิดามีเครื่องบินส่วนตัวก็ไม่จริง ส่วนมากมีเพื่อนนักธุรกิจให้ยืม บางครั้งก็เช่า
คตส. มีธงที่ต้องการให้ตอบคำถาม
น.ส.พินทองทากล่าวว่า ในชั้นไต่สวนคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ครั้งแรกตั้งใจให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล แต่หลังจากที่ให้อยู่ในห้องเป็นเวลาถึง 7 ชั่วโมงโดยไม่ให้เอาอะไรเข้าไป เมื่อถามคำถามแล้วคำตอบที่ให้ไปไม่พอใจก็ถามซ้ำๆเพื่อให้ตอบตามที่ต้องการ จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจในการให้ถ้อยคำครั้งที่ 2 ว่าจะขอใช้สิทธิไม่ให้ถ้อยคำ เพราะจะเอาข้อมูลมาทำร้ายบิดามารดาตัวเอง แต่ตัวแทน คตส. ก็ให้เข้าไปในห้องอีก 2 ชั่วโมงแล้วอ่านเอกสารให้ยืนยันว่าไม่ให้ถ้อยคำ แล้วบอกว่าให้เซ็นเอกสาร ถ้าไม่เซ็นจะติดคุก จะเสียค่าปรับ เริ่มรู้สึกกลัวจึงขออนุญาตไปห้องน้ำ เจอทนายบอกว่าจบแล้วไม่ต้องเซ็นเอกสารอะไร จึงเดินกลับไปที่ห้องเพื่อขอตัวกลับโดยบอกว่าไม่ให้ถ้อยคำ แต่มีเจ้าหน้าที่มารั้งประตูไว้จึงบอกไปว่าเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวตนหรือไม่
หวังในโลกนี้มีความยุติธรรม
“ข้อกล่าวหาในการยึดเงินที่ว่าเป็นการถือหุ้นแทนบิดามารดา ขอยืนยันว่าดิฉันเป็นเจ้าของหุ้นที่ซื้อมาจากพี่ชายด้วยความสุจริตเพราะอยากทำธุรกิจส่วนตัว อยากประสบความสำเร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่รู้ว่าเป็นเกมการเมืองหรือไม่ เป็นผู้หญิงอายุ 27 ปีต้องเข้าศาลเป็นเรื่องที่หนักมาก สงสารพ่อแม่ที่เห็นลูกตัวเองเจออะไรแบบนี้ หวังว่าลึกๆจะมีความยุติธรรมในโลกนี้” น.ส.พินทองทากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ผวากอด “หญิงอ้อ” ร่ำไห้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการเบิกความ น.ส.พินทองทาได้เดินมาสวมกอดและร้องไห้กับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ มารดา ที่เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมกับนายพานทองแท้ โดยก่อนเดินทางกลับผู้สื่อข่าวถามคุณหญิงพจมานว่ารู้สึกอย่างไรหลังคนในครอบครัวเบิกความหมดแล้ว คุณหญิงพจมานกล่าวว่า โล่งใจ อยากได้ความยุติธรรมบ้าง ส่วน น.ส.พินทองทากล่าวว่า กดดันแต่ก็โล่งใจ
กองทุนฟื้นฟูทวงคืนที่ดินรัชดาฯ
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูได้ส่งหนังสือถึงคุณหญิงพจมานเพื่อทวงที่ดินบริเวณถนนรัชดาภิเษก 33 ไร่คืน หลังสำนักงานอัยการสูงสุดตีความว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีหรือภรรยาไม่สามารถเป็นคู่สัญญากับรัฐได้
ต้องทำตามความเห็นอัยการ
ด้านนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เท่าที่ทราบเบื้องต้นสำนักงานอัยการสูงสุดเสนอให้ฟ้องเพื่อเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดิน ส่วนรายละเอียดต้องหารือกันอีกครั้ง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องข้อกฎหมายซึ่ง ธปท. ไม่เชี่ยวชาญ เมื่ออัยการแนะนำมาอย่างไรก็ต้องทำไปตามนั้น”
ที่มา Dailywordtoday http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=4298