ที่มา บางกอกทูเดย์
ในโลกของความทรยศ หักหลัง และปราศจากความจริงใจต่อกัน ทำให้เกิดสุภาษิตบทหนึ่งขึ้นมา เป็นสุภาษิตเพียงเพื่อสร้างอารมณ์ขัน จากอารมณ์คัน แต่ไม่หวังผลทางความคิดสุภาษิตนั้น บอกไว้ว่า “เพื่อนกินสิ้นทรัพย์แล้ว ไม่หนี เพราะเพื่อนรู้ว่ายังมี ซ่อนไว้”แต่ในโลกของความเป็นจริง วันนี้อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณชินวัตร จะมี “เพื่อนแท้” สักกี่คนคงไม่มีใครยืนยันได้ แม้กระทั่งตัว “ทักษิณ” เองแต่ถ้าจะเอ่ยถึง “เพื่อนตาย” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เวลานี้คงเหลือไม่กี่คนและหนึ่งในจำนวนนั้น คือ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.) 10ที่ต้องพูดถึง พล.อ.อ.สุเมธ ใน
วันนี้เพราะต้องการจะโยงไปถึงเรื่องการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ซึ่งถือเป็นการ “รัฐประหาร” เป็นการ “แย่งอำนาจรัฐ” ที่เปะปะเละละที่สุดในประวัติศาสตร์ความเป็นชาติพล.อ.อ.สุเมธ ยังเป็น “เพื่อน” ผู้ที่ยังยืนยงและคอยช่วยเหลือทั้ง “ยามสุขและทุกข์” มาตลอดและเขาเป็นคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณไว้เนื้อเชื่อใจถึงขนาดให้ “คุมกำลังรบ”ของกองทัพอากาศยุคก่อน 19 กันยายน2549 ด้วยความเชื่อมั่นว่า... “เพื่อนคือนักรบ”!!พล.อ.อ.สุเมธ เกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30
กันยายนที่ผ่านมา ยังไม่ถึง 2 เดือนมานี้เองด้วยความที่คลุกคลี “วงการเมือง” มาไม่น้อย จึงกลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจเป็น “หัวหอก ตท.10” นำพาพวกพ้องพาเหรดเข้าพรรคเพื่อไทย“สุเมธ” เป็นขุนพลคนล่าสุดที่เป็นกำลังหลักให้พรรคเพื่อไทย พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เพื่อนตาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นโต้โผหอบหิ้วเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.) 10 รวม 52 คน ที่เกษียณอายุในปีนี้มาสวมเสื้อแดงใต้แบรนด์เพื่อไทย...ว่าไปแล้ว พล.อ.อ.
สุเมธกับพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคู่หูสนิทชิดเชื้อตั้งแต่เป็นนักเรียน ตท.10 ด้วยกันเจ้าตัวเล่าไป แบบเขินอาย“ซี้กันมาก เพราะเคยแอบลอกข้อสอบทักษิณตอนเรียนเตรียมทหาร 2 ปี.....จุดหักเหของชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ที่เหตุการณ์ปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ซึ่งมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติและเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติคนเดียวที่มีอำนาจหลังการยึดอำนาจเพียง 14 วันเหตุการณ์ยึดอำนาจในวันนั้นผู้คนมากมายคงยังพอจำกันได้ว่า เป็นการยึด
อำนาจที่เหมือน “การลักไก่” คณะปฏิวัติไม่มีความพร้อมในการบริหารจัดการกำลังรบอย่างแท้จริงในวันนั้น.....เหตุการณ์อาจจะเปลี่ยน ถ้าผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี แทน “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งไปราชการต่างประเทศไม่ได้ชื่อ....พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี??พล.อ.อ.สุเมธ เคยเล่าให้นักข่าวฟังว่า.....ในวันเกิดเหตุ 19 กันยายน 2549 นั้น เขาคือคน “คุมกำลังรบ” ของกองทัพอากาศ ในหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน มีเป็นกองกำลังรบภาคพื้นดินและ
ภาคอากาศที่ทรงประสิทธิภาพของกองทัพไทยพล.อ.อ.สุเมธ พูดถึงความหลังครั้งนั้นว่า.....“ต้องเข้าใจว่า กองทัพอากาศจะมีหน่วยบัญชาการอากาศโยธินที่คุมกำลังทั้งหมด ซึ่งของผมยังอยู่พร้อม ถ้ารัฐบาล (ทักษิณ) ประกาศต่อสู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายผมก็พร้อมสู้เพราะเราคิดว่าเราทำตามกฎหมายเราไม่กลัว ผมจึงไม่ได้วางอาวุธ จนกระทั่งเขาประกาศว่ารัฐบาลยอมแพ้ผมก็ต้องวางอาวุธซึ่งตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่ม”พล.อ.อ.สุเมธเองก็พอจะแว่วข่าวเข้าหูว่า จะ
มีการปฏิวัติกัน....เขาจึงบอกว่า“การปฏิวัติในวันนั้นตอนบ่ายๆ ก็มีข่าวมาเรื่อยๆ ผมก็รอรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าเขาจะสั่งกันอย่างไร?”ตอนนั้น พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี โทรมาถามว่าจะทำอย่างไร? ผมก็บอกไปว่าให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน พอมีเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ ก็ใช้แผนของการปราบปรามด้วยการเรียก ผบ.เหล่าทัพมา มันก็จะเป็นการสู้อย่างเป็นรูปธรรมแต่ปรากฏว่าไม่มีใครทำ!!“คือนึกออกมั้ย?? ผมอยู่ในหน่วยกำลังของผม ผมถือว่าผมถูกต้อง
ตามกฎหมาย เพราะถ้ารัฐบาลสู้ผมต้องอยู่กับรัฐบาลแน่นอน ซึ่งหากเป็นแบบนั้นกำลังที่มาจากชายแดนและอยู่ระหว่างทางต้องคิดหนักแล้วว่าจะทำอย่างไร?”“จะอยู่ข้างคนปฏิวัติ หรืออยู่ข้างรัฐบาล เพราะถ้าอยู่ฝ่ายรัฐบาลไม่ว่าจะแพ้หรือชนะไม่ใช่ฝ่ายผิดกฎหมาย”ในสังคม “นักรบ” แทบทุกคนรู้กันว่า ถ้าในวันนั้น แค่รักษาการนายกรัฐมนตรี อย่าง พล.ต.อ.ชิดชัยจะสวมหัวใจสิงห์สักอึดใจเดียว สั่งการไปยัง พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ในฐานะผู้คุมกองกำลัง ซึ่งมีหน่วย
บัญชาการอากาศโยธิน แล้ว “สั่งให้สู้”เหตุการณ์ก็จะพลิกผันได้ไม่ยาก!!เพราะ....พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เองกลับ “ไม่พร้อม” แต่ต้องรอกำลังจากกองทัพภาคที่ 3 และกำลังที่มาจากชายแดนในวันนั้น....วันที่ 19 พฤศจิกายน 2549 แม้ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ จะชื่อ พล.ต.พฤณ สุวรรณทัต เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ยศในขณะนั้น) เป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 รักษาพระองค์แต่ “เขี้ยวเล็บ” ของ
พล.ต.พฤณ ถูก “หัก” ไปหมดแล้ว ด้วยการสั่งย้าย ผบ.พัน ซึ่งเป็นหน่วยคุมกำลังรบ ของ พล.1 รอ. 17 กองพัน และผู้เซ็นคำสั่งนั้นคือ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา!!ดังนั้น....กำลังรบที่แท้จริง ที่มากมายด้วยเขี้ยวเล็บซึ่งยังเหลืออยู่ของนายกฯ ทักษิณ คือหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ซึ่งมีกำลังรบเพียบและ... “พร้อม”!! อยู่เพียงหน่วยเดียวแต่...แม้ว่า... “เพื่อนรัก-เพื่อนตาย” อย่าง พล.อ.อ.สุเมธโพธิ์มณี ในฐานะ ผบ.หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน พร้อมที่
จะ “รบ” และต่อต้าน หรือเรียกเสียให้เข้าใจง่ายๆว่า “ปราบปรามการก่อการกบฏ” ของฝ่าย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน แต่เมื่อ พล.ต.อ.ชิดชัย ในฐานะผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่เซย์ “เยส”ทุกอย่างก็จบ.....!!พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เพิ่งมารวบรวมกำลังให้ครบ 4 เหล่าทัพแล้วนั่งเป็นแผงออกทีวีได้ ก็เมื่อฟ้าสางแล้ว และจาก “ความไม่พร้อม” ของฝ่ายคิดยึดอำนาจมากลายเป็นฝ่าย “รัฐประหารสำเร็จ” พ.ต.ท.ทักษิณ ก็กลายเป็น “นกขมิ้นเหลืองอ่อน” มาจนถึงวันนี้......
และ...บัดนี้ พล.อ.อ.สุเมธโพธิ์มณี ได้กลับมาสู้ใหม่ให้กับเพื่อนรักที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”พร้อมด้วยอดีตทหารใหญ่มากมายที่เพิ่งเกษียณอายุราชการแต่เป็นการ “ต่อสู้กันทางการเมือง” สู้ด้วยมือเปล่า และสมองที่ไม่ต้องใช้ปืน ไม่ต้องพึ่งรถถัง และไม่ต้องการขีปนาวุธใดๆ ทำให้ทุกฝ่ายต่างจับตามองมองว่า....ทหารจะเป็นนักการเมืองที่เก่งกล้าได้เหมือนที่เคยเป็นนักรบไหม??
สองคม