WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, December 1, 2009

ปากเสรี มีไว้พูดจริงหรือ?

ที่มา บางกอกทูเดย์

ด้วยความรู้ความสามารถที่เคยมีมาในอดีตของ ดร.เสรี น่าที่จะแยกแยะได้ว่า ไม่ควรที่จะผูกขาดความรักชาติเอาไว้ฝ่ายเดียวแล้วคนที่ได้ร่วมดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาฯมาแล้วอย่าง พล.อ.ชวลิตจะไม่รักชาติไม่รักสถาบันได้อย่างไรกันดร.เสรีอาจจะอินกับบทในละคร ที่เคยจีบปากจีบคอว่าใครก็ได้ แต่นั่นมันในละคร นั่นเป็นการแสดง ที่ควรจะต้องแยกแยะจากในชีวิตจริง

คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา ที่ไม่มีทางจะมีแต่คนรักคนชอบ หรือว่าจะมีแต่คนเกลียดคนชังดังนั้น การที่จะเอาความรัก ชอบ เกลียด ชัง ไปตัดสินใครต่อใครนั้น สำหรับคนที่มีการศึกษา มีวุฒิภาวะ ย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่ทำแน่ยิ่งในภาวะที่สังคมกำลังแตกแยกแบ่งขั้วทางความคิด

เช่น ในภาวะปัจจุบัน วิญญูชน หรือบัณฑิต ยิ่งควรจะต้องระมัดระวังไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างของการเพิ่มความแตกแยกให้ขยายวงมากขึ้นในสังคมในวันนี้เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ล้วนรับรู้ถึงความแตกต่างทางความคิดที่ต้องการให้มีการประสานให้มีการแก้ไข เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นมาในแผ่นดินให้สมกับที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชวาท ให้คนไทยรู้รักสามัคคีกันมาโดยตลอดแต่ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น เพราะนับตั้งแต่การทำรัฐ

ประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองฯ ก็ได้ทำให้เกิดความคิดที่แตกต่างเป็น 2 ขั้วอย่างรุนแรงขึ้นมาในประเทศไทยยาวนานต่อเนื่องมาถึง 3 ปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆรัฐบาลทุกรัฐบาลหลังจากการรัฐประหาร รวมทั้งรัฐบาลปัจจุบันที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ล้วนต่างรู้ดีว่า 1 ในภารกิจสำคัญที่พึงกระทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองอย่างแท้จริง ก็คือเร่งสร้างความสมานฉันท์ สมัครสมานสามัคคี

ให้กลับมาสู่ประเทสไทยเช่นในอดีตคำถามก็คือ ณ วันนี้รัฐบาลทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีและเหมาะสมเพียงใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กลไกและสื่อต่างๆ ของรัฐ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ ถูกใช้เพื่อการสร้างความสมานฉันท์หรือถูกใช้เพียงเพื่อสร้างฐานสร้างความนิยมทางการเมืองให้กับรัฐบาล พร้อมทั้งทำลายคู่แข่งทางการเมืองไปในตัวปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้นักวิชาการที่เดินสายกลาง และต้องการเห็นประเทศไทยกลับคืนสู่ความรู้รักสามัคคี ล้วนเป็นห่วงกับวิธีคิด

และท่าที รวมทั้งการกระทำของรัฐบาลในการใช้กลไกสื่อของรัฐเป็นเครื่องมือการตั้งบรรดาบุคคลฝีปากกล้า ที่รู้เพียงแค่ว่าต้องใช้วาทะที่รุนแรงทำลายฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซากให้ได้ ประหนึ่งพันธกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายมาจากขั้วอำนาจตามแผนบันไดอุบาทว์ 4 ขั้นนั้นให้มาเป็นโฆษก ให้มาเป็นองครักษ์พิทักษ์นาย และรวมไปถึงเป็นนายกองร้องด่าท้าทายนั้นถือเป็นการปิดโอกาสในการสร้างความสมานฉันท์ที่น่าเป็นห่วงแต่ที่เป็นอันตรายยิ่งกว่า คือ การใช้สื่อของรัฐให้

บุคคลที่มีชื่อเสียง มีภาพของนักวิชาการ เอามาโจมตีคู่แข่งทางการเมืองอย่างรุนแรงนั้น เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าเพราะการที่นักการเมือง หรือพรรคการเมือง และแม้แต่กระทั่งนายทหารทีคุมกลไกของอำนาจ การออกมาพูดออกมาแสดงความคิดเห็นอะไรต่างๆ นาๆประชาชนยังเห็นว่า นี่เป็นการกระทำของการเมืองขั้วตรงข้ามกัน... ยังพอเข้าใจได้แต่การที่เอานักวิชาการ เอาคนที่เคยมีเครดิตมีความน่าเชื่อถือทางด้านสื่อสารมวลชน เอาคนที่เคยเป็นอาจารย์ซึ่งมีลูกศิษย์ลูก

หามากมาย มาออกสื่อทั้งของรัฐและของเอกชน แล้วแสดงวาทะที่เป็นการทำลายล้างกันทางการเมืองนั้น ... น่าคิดเป็นอย่างมากว่าสมควรเพียงใด?... และเหมาะสมแล้วหรือ?นี่คือ ความพยายามที่จะสร้างสมานฉันท์ หรือว่าทำลายสมานฉันท์กันแน่?ยิ่งการที่ได้คนอย่าง รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา มาเป็นเหมือนอาวุธสำคัญในการทำลายล้างกันทางการเมือง ยิ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลยิ่งต้องทบทวนให้ดีว่าคุ้มกันหรือไม่แน่นอน ดร.เสรี มีจุดยืนชัดเจน เพราะเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่

ร่วมขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่เมื่อปี 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ก็ยังใช้ทุกโอกาส ใช้ทุกสื่อที่เป็นช่องทางที่สามารถทำได้เล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณอย่างต่อเนื่องถือว่าตรงเปคที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะใช้บริการปากของดร.เสรี ในทางการเมือง ยิ่งหากย้อนสายสัมพันธ์ในอดีต ที่ ดร.เสรี เคยเป็นผู้สมัครในตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดูแลด้านการศึกษา ในชุดที่ ดร.พิจิตต รัตตกุล สมัครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในการ

เลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2535 โดย ดร.เสรี เปิดตัวชัดเจนว่า สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ด้วยนั้นแม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้งก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังคงมีให้เห็นและยิ่งจริงๆ แล้ว ดร.เสรี หลังจากที่มีชื่อเสียงในฐานะนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ก็ได้มีการขยับตัวเข้าหาทิศทางการเมืองมาโดยตลอดว่ากันว่าเคยรับจ้างเป็นเงินหลายล้านบาท เพื่อปรับเปลี่ยนและพัฒนาบุคลิกภาพให้กับนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยมาแล้วฉะนั้น เส้น

ทางของ ดร.เสรี จึงปนเปกันมาตลอดระหว่างนักวิชาการกับเส้นทางของพรรคการเมืองเพียงแต่วันนี้ หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ว่า เส้นทางชีวิตของ ดร.เสรี นอกจากจะเปิดเผยในเรื่องเพศที่ 3 แล้ว ยังมีเรื่องของการเมืองด้วยเช่นกัน... ตรงนี้แหละสำหรับคนที่ไม่รู้ในส่วนนี้ต้องถือว่าน่าเป็นห่วงเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ดร.เสรี เป็นที่รู้จักกันดีของผู้คนในสังคม ทั้งในแวดวงวิชาการหรือการศึกษา ในด้านการเป็นนักพูด นักบรรยาย พิธีกรชื่อดัง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย

จึงมีเครดิตในการที่มักจะเป็นผู้ให้ทัศนะในแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นทางสังคมเพียงแต่วันนี้ ดร.เสรี อาศัยเครดิตที่มี มาใช้คำพูดที่รุนแรงกับใครก็ตามที่ถูกมองว่าเป็นขั้วตรงข้าม หรือใครก็ตามที่ ดร.เสรีคิดว่ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะมีผลงานหรือทำงานเพื่อประเทศชาติมามากมายเพียงใด อย่างเช่นล่าสุด แม้แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินจนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์

ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.) และได้เหรียญตราชั้นรามาธิบดี มหาโยธินซึ่งถือว่าเป็นเหรียญชั้นสูงสุดในทางทหารแต่ ดร.เสรี ก็ไม่มีเว้นนั้น... คิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วหรือด้วยความรู้ความสามารถที่เคยมีมาในอดีตของ ดร.เสรี น่าที่จะแยกแยะได้ว่าไม่ควรที่จะผูกขาดความรักชาติเอาไว้ฝ่ายเดียวแล้วคนที่ได้ร่วมดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาฯมาแล้วอย่าง พล.อ.ชวลิต จะไม่รักชาติไม่รักสถาบันได้อย่างไรกันดร.เสรี อาจจะอินกับบทในละคร ที่เคยจีบปากจีบคอว่าใครก็ได้

แต่นั่นมันในละคร นั่นเป็นการแสดงที่ควรจะต้องแยกแยะจากในชีวิตจริงและที่สำคัญในสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังร้อนรุ่ม และแตกแยกแบ่งขั้วทางความคิดอย่างรุนแรงเช่นนี้ ยิ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องระวังที่จริง ดร.เสรี ควรเป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องช่วยรณรงค์ให้เกิดความสมานฉันท์ที่แท้จริงกับประเทศชาติบ้านเมืองมากกว่า... ถ้าทำได้แบบนี้ฝีปากของ ดร.เสรีก็จะสร้างประโยชน์แต่หากติดอยู่กับขั้วความคิด จนเลยเถิดไปหมด นอกจากจะกระทบกับภาพลักษณ์ในความเป็น

อาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมายแล้วยังเป็นการสร้างความขัดแย้งให้พุ่งเข้าหาตัวเองอย่างน่าเป็นห่วงด้วยซ้ำเพราะต้องไม่ลืมว่า ดร.เสรี ยังมีคนที่รักใคร่ชอบพอ พล.อ.ชวลิต ก็ย่อมต้องมีคนที่รักใคร่ชอบพอด้วยเช่นกันตรงนี้แหละที่ไม่เพียงจะทำให้สมานฉันท์ไม่เกิด แต่ยังอาจจะขยายวงกระทบกระทั่งมากขึ้นด้วย ... เชื่อว่าความรู้ความสามารถระดับ ดร.เสรี น่าจะอ่านทะลุได้ไม่ยากว่า สถานการ์เช่นนี้จะอันตรายแค่ไหนในอนาคต?เช่นเดียวกับรัฐบาลเอง ก็น่าที่จะต้อง

ทบทวนบทบาทด้วยว่า จริงๆแล้วต้องการสร้างสมานฉันท์ขึ้นมาหรือไม่หากคำตอบคือ “ใช่”... ก็น่าที่จะปรามบรรดาบุคคลที่กำลังใช้ “ฝีปาก”ในการก่อมลพิษทางการเมืองเสียบ้างแต่หากว่า คำตอบคือ “ไม่ใช่”... ก็คงต้องบอกว่าน่าเสียดายโอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์เป็นยิ่งนักแทนที่จะดับไฟ กลับใช้ลมปากเติมเชื้อไฟไปเรื่อยๆ... แล้วปัญหาจะยุติได้อย่างไร!!!