WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, December 4, 2009

7.6หมื่นล้าน หวานหรือขม?

ที่มา บางกอกทูเดย์

อำนาจทางการเมืองนั้นเปรียบเหมือนกับไฟหากใช้ในทางที่ถูกต้อง ก็ให้ได้ทั้งแสงสว่างและความอบอุ่นแต่หากใช้ในทางที่ผิด ก็สามารถที่จะมอดไหม้เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างลงได้ในพริบตาซึ่งนับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา การใช้อำนาจทางการเมืองสารพัดรูปแบบและวิธีการ ได้ทำให้บรรยากาศและความสมานฉันท์ในประเทศไทย เปลี่ยนแปลงไปในพริบตาการไล่ล่าทำลายล้างกันทางการเมือง ได้ก่อให้เกิดกระบวนการที่มีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ขึ้นมาทำหน้าที่ตามล้างตามเช็ด พ.

ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคไทยรักไทยรวมทั้งมีการแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. ขึ้นมาเสริมเป็นดาบ 2ซึ่งคณะกรรมการทั้ง 2 ชุด ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดว่า ล้วนแล้วแต่คัดบุคคลที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้นแผนบันไดอุบาทว์ 4 ขั้นมีจริงหรือไม่ ผู้ที่กุมอำนาจและหนุนหลังให้เกิดการทำรัฐประหารรู้ดีอยู่แก่ใจ... แต่สังคมนั้นไม่ใช่ชามข้าวที่ว่างเปล่า หรือกระ

โหลกที่ไร้สมอง จึงทำให้มีการจับตามองการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่วางตาพรรคไทยรักไทยถูกยุบไปตามแผน แม้จะหนีมาตั้งพรรคใหม่คือ พลังประชาชน ก็ถูกยุบอีก จนกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจุบัน ก็ถูกขู่ถูกจ้องจับผิดเพื่อที่จะทำแฮททริก ยุบพรรคเป็นครั้งที่ 3 อยู่ตลอดเวลานั่นคือ ในทางการเมือง และการขจัดพรรคการเมืองคู่แข่งให้กับพรรคเด็กดีที่อยู่ในโอวาทอย่างพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในทางการโค่นล้มฐานที่มั่น โดยเฉพาะการลดทอนความเข้มแข็งของ พ.ต.ท.

ทักษิณ และความน่าเชื่อถือ ตลอดจนการได้รับการยอมรับแนวคิดในการทำงานด้วยนโยบายประชานิยม และการใช้สไตล์ธุรกิจข้อหาทุจริต เอื้อผลประโยชน์ เป็นข้อหาที่ใช้เป็นข้ออ้างได้เป็นอย่างดีเพราะแม้แต่ในนักการเมืองที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้ ก็ล้วนแล้วแต่รู้ดีว่า “ใบเสร็จ”นั้นหากันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน... ไม่งั้นใครหลายคนคงไม่สามารถผงาดขึ้นมาเป็นหัวหน้าก๊วนหัวหน้าแก๊ง มีคนรายล้อมมากมายได้เช่นในขณะนี้แน่นี่เองที่ทำให้ มีการเร่งใช้กลไกของ คตส. และ

ปปช. มุ่งตรวจสอบกรณีคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท เป็นหลักเพราะเชื่อกันว่า เงิน 76,000 ล้านบาท ไม่เพียงเป็นเสบียงกรังที่สำคัญ แต่ถือเป็นท่อน้ำเลี้ยงที่ใหญ่มหาศาล ซึ่งหากปล่อยเอาไว้จะถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับแผนบันได 4 ขั้น และสำหรับพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งหลายยิ่งเมื่ออัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ และได้มาเนื่องจาก

การกระทำที่เป็นการขัดกัน ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวม และทรัพย์สินของครอบครัว จำนวน 76,627 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน อสส. ยืนยันผลการตรวจสอบ ระบุว่าเชื่อได้ว่าอดีตนายกฯทักษิณ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติสิ่งที่สะท้อนให้เห็นการดำเนินการเป็นกระบวนการ ก็คือ บรรดาบุคคลที่ดาหน้ากันเล่นเกมหักเหลี่ยมโหดในเรื่องนี้ ล้วนแล้วแต่เห็นหน้าวนๆ เวียนๆ กันอยู่อย่างซ้ำไปซ้ำมาแทบทั้งสิ้นแถมเนื่องจาก

ทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาท นี้เป็นการอายัดมาจากเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ได้มาเพระการขายหุ้น SHIN ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเรื่องที่ทำการซื้อขายโดยเปิดเผย เป็นไปตามกลไกของการซื้อขายทั่วไป เพียงแต่เป็นจำนวนมหาศาลเท่านั้น.. แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีใครทำเสียเมื่อไหร่ เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดดีลหุ้น SHIN ก็มีการขายหุ้น UCOM ของตระกูลเบญจรงคกุล เป็นมูลค่าประมาณ 8,000 กว่าล้านบาทมาแล้วรวมทั้งหลังจากดีลหุ้น

SHIN แล้ว ก็ยังมีกรณีตระกูลรัตนรักษ์ ขายหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา ให้กลับกลุ่มจีอี แคปปิตลอล เป็นมูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท เช่นกันเพียงแต่ตระกูลเบญจรงคกุล กับตระกูลรัตนรักษ์ ไม่ได้เล่นการเมือง และไม่ได้เป็นเป้าหมายทางการเมือง จึงไม่ได้มีปัญหาอะไรสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาจึงเป็นเรื่องที่จะต้องหาหลักฐานเชื่อมโยงให้ได้ว่า เงินจำนวน 76,000 ล้านบาท นั้น สมควรที่จะถูกยึดทั้งหมด... ตั้งเป้ากันขนาดนั้นเลยทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงหุ้น SHIN นั้น เข้ามา

จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งแต่ปี 2533 แล้วในชื่อของบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ จำกัด (มหาชน)นี่จึงเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดเป็นข้อกังขาในสังคมมาโดยตลอดว่า หุ้นจำนวน 49.595 ของทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ได้ขายหุ้นให้แก่ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของรัฐบาลสิงคโปร์นั้น ที่อ้างว่าเป็นหุ้นที่ได้มาเพราะการดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งจำนวนนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรจะบอกได้อย่างไรว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร ทั้งๆ ที่หุ้นมีการจด

ทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯก่อนหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเล่นการเมืองด้วยซ้ำแต่บรดา คตส. ไม่ว่าจะเป็น นายแก้วสรร อติโพธิ์ นายบรรเจิด สิงคะเนติ นายสัก กอแสงเรือง คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และนายกล้านรงค์ จันทิก ซึ่งล้วนแล้วแต่ถูกแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการ คตส. เพื่อเป้าหมายในการตรวจสอบเอาผิดเรื่องนี้ให้ได้โดยเฉพาะ ต่างพากันขึ้นให้การในทำนองว่า เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร และควรที่จะต้องยึดให้ตกเป็นของแผ่นดินสิ่งที่เห็นได้

ชัดก็คือ การพยายามเชื่อมโยงสารพัดประเด็นเข้ามารวมให้เห็นว่าน่าจะมีเงื่อนงำ เพราะกลายเป็นโยงในเรื่องของการที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยปล่อยเงินกู้จำนวน 4,000 ล้านบาท ให้กับประเทศพม่า และยังมีในเรื่องของการแก้ไขภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมหรือแม้แต่รวมเรื่องของที่ดินรัชดาฯเข้าไปพ่วงด้วยตรงไม่ตรง เกี่ยวไม่เกี่ยว... ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือ คตส. มีเป้ามหายที่ชัดเจนยิ่งล่าสุดนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส. ได้ขึ้นเบิกความว่า

พยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนมีน้ำหนักเพียงพอที่เชื่อได้ว่า ผู้ถูกร้องมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไป และได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร อันสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ในขณะที่ทางฝ่ายจำเลยได้มีการพยายามทักท้วงถึงคุณสมบัติของอดีต คตส. อย่างนายบรรเจิด สิงคะเนติ นายแก้วสรร อติโพธิ และ นายกล้านรงค์ จันทิก ว่า มีพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกร้องอย่างเห็นได้ชัดปัญหาก็คือ ตราบใดที่ประเด็นการยึดทรัพย์สิน 76,000 ล้านบาท ยังเป็นเรื่อง

ของการใช้พยานหลักฐานในลักษณะเพื่อการเชื่อมโยง ในขณะที่ตัวบุคคลที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ เป็นคณะบุคคลที่ถูกมองว่า ถูกคัดเลือกแต่งตั้งเข้ามาเพราะยืนอยู่ตรงข้ามกับ พ.ต.ท.ทักษิณโอกาสที่เรื่องนี้จะจบง่ายๆ โดยไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือข้อสงสัยคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากก็ขนาดแค่กรณีซื้อขายที่ดินรัชดาฯ 4 แปลง จำนวน 33 ไร่เศษ มูลค่า 772 ล้านบาท ซึ่งแม้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ

กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 100 และ 122 เรื่องการให้ความยินยอมคู่สมรสทำสัญญาแต่กรณีนี้ตัวคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ศาลไม่ได้พิพากษาว่ามีความผิด และไม่ได้มีคำพิพากษาให้ริบทรัพย์แต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่กลับจะมีการบีบให้ทางกองทุนเพื่อการฟื้นฟูริบที่ดิน จึงทำให้เป็นเรื่องที่แปลกๆ และทำให้ทางคุณหญิงพจมาน จำเป็นต้องสู้ เพราะถือว่าซื้อขายด้วยการประมูลตามกติกา

ของกองทุนฟื้นฟูฯทุกอย่างดังนั้น หากดูถึงที่มาที่ไปและความพยายามต่างๆ นานา ยิ่งทำให้โค้งสุดท้ายในคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ยิ่งก่อให้เกิดเสียงสะท้อนในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า...มีธง???ปัญหาก็คือ ธงที่ว่าจะสามารถยุติปัญหาความขัดแย้งที่ยาวนานมาร่วม 3 ปีนี้ได้อย่างไรโค้งสุดท้ายของเกมนี้เขม็งเกลียวเสียจนไม่มีใครกล้ากระพริบตา