WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, December 20, 2009

สยามประเทศ...คนอมโรคแห่งสุวรรณภูมิ

ที่มา ประชาไท

ผู้เขียนนั่งเขียนบทความนี้อยู่ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมแวะไปเยือนเชียงแสนมา ได้เห็นศักยภาพอันอลังการเหลือเกินของบ้านเมืองเราที่จะเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อภูมิภาคแถบนี้กับมหาอำนาจอย่างจีน ขนาบข้างด้วยสหภาพพม่าและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่ดีวันดีคืนขึ้นทุกขณะ
ลาว กำลังเป็นเจ้าภาพ ซีเกมส์ ดูสถานีโทรทัศน์ “ลาวสตาร์” ที่เขาจัดให้ในห้องพัก ก็รู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจของผู้คนอีกฟากฝั่งหนึ่งแห่งลุ่มน้ำโขงที่ได้มีโอกาสจัดเกมการแข่งขันอันสำคัญของชาวสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก กองเชียร์ลาวฮึกเหิมและเป็นหนึ่งเดียว หลักฐานก็คือ พลันที่ลูกโหม่งตีเสมอของศูนย์หน้าทีม “ซาดลาว” พุ่งเข้าไปตุงตาข่ายทีม “สหภาพเมียนม่าร์” นั้น กล้องโทรทัศน์ก็ได้จับภาพชาวลาวเฮลั่นสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งอัฒจรรย์ เสียงบรรยายภาษาลาว (ที่คนไทยเช่นเราไม่ต้องใช้ล่ามก็ฟังเข้าใจ) ประกาศอย่างตื่นเต้นว่า ลูกนี้มีสปอนเซอร์อัดฉีดเป็นเม็ดเงินสูงถึง 5 ล้านกีบเลยทีเดียว !
เช้าวันก่อน ข้ามฝั่งจาก “เชียงของ” ของไทยไปยังเมือง “ห้วยทราย-Houei Xai” ของลาว ก็ได้เห็นนักท่องเที่ยวฝรั่งสะพายเป้ (แบ๊คแพ็ค) เดินเต็มไปหมด สอบถามได้ความว่าพวกเขากำลังพากันไปเมือง “หลวงพระบาง” วิธีการก็คือ ทำเรื่องขอผ่านแดนที่ท่าเรือ “บั๊ค” เขตอำเภอเขียงของ แล้วล่องเรือจากห้วยทรายซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น ไปค้างแรมที่ “ปากแบง-Pak Beng” คืนหนึ่ง จากนั้นก็นั่งเรือต่อจนถึงหลวงพระบางในเย็นวันถัดไป
เมืองเชียงของ ของเราจึงมีศักยภาพมากเช่นกัน เพราะเป็นประตูเปิดสู่อินโดจีน อีกบานหนึ่งในหลายๆบานของไทย โดยเฉพาะการเดินทางไปเยือนเมืองหลวงพระบาง อันเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ ยูเนสโก (UNESCO) รับรอง ในฐานะ The best preserved city in South-East Asia แผนการพัฒนาเมืองเชียงของ จึงควรรีบทำขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพื่ออนุรักษ์ให้สอดคล้องกับบรรยากาศแห่งอนุภูมิภาค ไม่ทราบว่ารัฐบาลจะมีสมาธิ ฤาสติปัญญาพอที่จะมาคิดเรื่องเช่นนี้บ้างไหมหนอ
ตัดภาพกลับไปยังย่อหน้าแรก เชียงแสนเองก็ดูเหมือนจะถูกปล่อยให้เติบโตอย่างค่อนข้างสะเปะสะปะ ศักยภาพของเมืองระดับนี้ ควรที่จะต้องมีการระดมสติปัญญาจากมืออาชึพชั้นหัวกะทิ (จะ outsource พวกฝรั่งมั่งก็ยังได้) ให้มาช่วยกันกำหนด Positioning ของเมืองว่าควรจะเป็นอย่างไร เชียงแสนจึงจะเจริญเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน
อย่างน้อยก็ควรมี นักยุทธศาสตร์ นักผังเมือง แลนักการเมืองตลอดจนคนพื้นถิ่นชาวเชียงแสนมาออกความเห็นร่วมกัน
และที่สำคัญ ก็ควรเป็นอะไรอันสอดรับกับ ยุทธศาสตร์ของชาติ ทั้งในด้าน เศรษฐกิจ ความมั่นคง และการท่องเที่ยว ฯลฯ
ไม่ทราบว่ารัฐบาลพอจะเข้าใจไหมหนอ ว่านี่ก็เป็น “หน้าที่” ที่ท่านจะต้องคิดและทำ
ข้างฝ่ายประเทศ สหภาพพม่านั้น ก็กำลังจะมีการเลือกตั้ง อันเป็นที่แน่นอนแล้วในปีหน้า (ค.ศ.2010) ภายหลังจากการเลือกตั้ง เขาอาจขลุกขลักอยู่บ้างในระยะแรกๆดังที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศกัมพูชา หลังจากนั้นก็มีแนวโน้มว่าจะติดลมบนแล่นฉลิวเป็นเรือปลิวใบ ดังที่มีสัญญานอันเป็นบวกมาจากทั้งมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา แลท่านผู้หญิง “อองซาน ซูจี” ด้วยท่าทีปรองดองสมานฉันท์ กับทางกองทัพ-SPDC ในอันที่จะร่วมมือกันพัฒนาชาติประเทศพม่าให้รุ่งเรืองโดยเร็วสืบไป
มิพักต้องพูดถึงประเทศกัมพูชา ที่ยิ่งมายิ่งสดใสกาววาว ด้วยว่ารัฐบาลภายใต้การนำของท่าน สมเด็จฮุนเซ็น นั้นมีเสถียรภาพมั่นคงยิ่งนัก แลยิ่งมีประสบการณ์มากก็ดูเหมือนวิสัยทัศน์จะยิ่งแจ่มชัดเป็นเงาตามตัว ดังปรากฏต่อสายตาประชาคมอาเซียนชนิดที่ไม่ต้องไปจาระไนให้เมื่อยตุ้มกันเลยทีเดียว
ที่น่าห่วงสุดกลับเป็น “ประเทศสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง” ของเรานี่เอง ซึ่งจู่ๆกำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้าชนิดที่ใครๆก็พากันอิจฉา (ผู้เขียนเคยพูดคุยกับนักธุรกิจชาว อินโดนีเซีย เมื่อหลายปีก่อน เขาอิจฉาประเทศไทยของเรามาก เพราะตอนนั้น ทุกอย่างลงตัว และดูดีไปหมด) แล้วพลันก็กลับกลายเป็นเหมือน “บ้องไฟหมดเชื้อปะทุ” อย่างไรอย่างนั้น หันหัวทิ่มลงจนวันนี้ยังมึนกันทั้งประเทศ ด้วยว่าไม่รู้จะเอายังไงกันดี
เมืองไทยวันนี้จึงไม่ต่างกับ “คนอมโรค แห่งสุวรรณภูมิ” เพื่อนต่างขาติของผู้เขียนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แม้เขาจะได้พูดคุยกับคนไทยจำนวนมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศอันสวยสดงดงามและเต็มไปด้วยศักยภาพแห่งนี้
เขาไม่เข้าใจว่า ประเทศที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง และได้รับการยอมรับจากนานาอารยะประเทศเป็นอันมาก อยู่ดีๆทำไมคนไทยจึงยอมให้ทหารออกมายึดอำนาจเสีย
เขาไม่เข้าใจว่า ประเทศที่ไม่มีชนกลุ่มน้อย ไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อชาติศาสนา และได้ฉายาว่า “สยามเมืองยิ้ม” อันหมายถึงผู้คนมีจิตใจอ่อนโยน โอบอ้อมอารี อยู่ดีๆทำไมถึงแตกออกเป็นสองเสี่ยง
(เรื่องสยามประเทศ แตกแยกครั้งใหญ่นี้ ฝรั่งมังค่ารู้กันหมดแล้วพอๆ กับที่ สมเด็จฮุนเซ็น ก็รู้เรื่องนี้ดี จึงไม่ควรที่พวกเราจะดัดจริตบอกว่าคนไทยยังรักกันดีอยู่ หากควรยอมรับความจริงเสียที เพื่อจะได้ช่วยกันคิดหาทางแก้ไขได้บ้าง)
ผู้เขียนมีเวลานั่งตกผลึกความคิดในช่วงวันหยุดยาวหลายวัน เห็นสมรรถนะแลทรัพยากรที่มีอยู่ของชาติประเทศตนเองแล้ว ก็ได้แต่ทอดถอนใจ เสียดาย Distinctive Competencies ที่ถูกหมกไว้ ไม่มีโอกาสนำออกมาใช้ในการพัฒนาประเทศชาติ รอยแผลบาดลึกที่เป็นอยู่ในเพลานี้ เบิกกว้างเกินกว่ารัฐบาลแบบที่เรามีอยู่ จะสามารถแก้ไขเยียวยาได้
มีแต่ต้องเป็น “อำนาจอันยิ่งใหญ่” บวกกับ “วิสัยทัศน์ ที่ถูกต้อง แลชาญฉลาด”เท่านั้น ที่อาจมีพลังมากพอในการฉุดดึงประเทศของเราให้หลุดพ้นจากการเป็น “คนอมโรค” แห่งสุวรรณภูมินี้ได้
ว่าแต่องค์ประกอบทั้งคู่จะมีอยู่จริงหรือ และจะมาประจวบเหมาะกันเมื่อใด มีแต่องค์พระสยามเทวาธิราชเท่านั้น ที่จะทรงหยั่งรู้