ที่มา บางกอกทูเดย์
ที่สำคัญต้องถือว่า จริงๆ แล้วเป็นการเตือนสติพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์หาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ หมดรักพรรคประชาธิปัตย์จริง คงไม่ยั้งเอาไว้ด้วยคำพูดที่ว่า“หากไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะพูดได้มากกว่านี้”ปัญหาก็คือ คนในพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจหรือไม่ ใจกว้างพอที่จะรับได้หรือไม่เท่านั้น
หนึ่งในข้อกล่าวหาโจมตีรัฐบาลทักษิณ ก็คือ การเล่นพรรคเล่นพวก ทั้งๆ ที่ หากย้อนถามทุกๆ รัฐบาล ทุกๆ พรรคการเมือง มีรัฐบาลไหน หรือพรรคการเมืองไหนบ้าง ที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพรรคพวก หรือคนในเครือญาติตระกูลแม้แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ที่
พยายามสร้างภาพว่าเป็น “มิสเตอร์สะอาด” เสียนักหนานี่ก็เถอะ คนในแวดวงก็คึกคักไปหมดเหมือนกัน เฮฮาเป็นดอกเห็ดบานรับหน้าฝนกันทันทีที่นาย
อภิสิทธิ์ขึ้นเป็นนายกฯ โดยอาศัยภาพของนายอภิสิทธิ์เป็นฉากบังจนเมื่อมาเกิดกรณี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งปลด นายชีวเวช เวชชาชีวะ พ้นตำแหน่ง เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นั่นแหละสังคมจึงได้เห็นภาพชัดว่า... จริงๆ แล้ว นายอภิสิทธิ์ ก็หนีไม่พ้นเอา
วงศาคณาญาติเข้ามารับตำแหน่งหน้าที่ด้วยเช่นกันซึ่งเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่คนแรกในแวดวงการเมืองไทยที่ทำ และมั่นใจเถิดว่าก็จะไม่ใช่คนสุดท้ายด้วยที่ทำ... ฉะนั้นที่ผ่านมาคนบางคนในประชาธิปัตย์ ที่พยายามดัดจริต หรือเที่ยวไปว่าคนโน้นคนนี้ทำสุดท้ายก็หนีไม่พ้นปลาข้องเดียวกันนั่นเองสิ่งที่น่าสนใจ จึงควรอยู่ในหลักการที่ว่า คนที่ถูกส่งไปด้วยอำนาจการเมือง คนนามสกุลเดียวกัน หรือเครือญาตินั้น เป็นการวางคนชนิดเหมาะ
สมกับงานเหมาะสมกับตำแหน่ง หรือ Put the right man on the right job หรือไม่???ดังนั้นประเด็นของผลงาน ประเด็นของความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ ตลอดจนการวางตัวต่างหาก เป็นสิ่งพิสูจน์ทั้งนักการเมืองที่เป็นคนส่งไป และตัวบุคคลที่ถูกส่งไป ว่าทำได้อย่างเหมาะสม หรือโปร่งใสเพียงใดกรณีของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ คงต้องบอกว่า เป็นความอึดอัดที่สั่งสมมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เมื่อถึงจุดที่อึดอัดจนทนไม่ไหว ด้วยบุคลิกของนัก
วิชาการ ด้วยบุคลิกของคุณชาย จึงเลือกที่จะไม่ทน!!!การพูดตรงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่เตือนสติรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ว่าบริหารงานล้มเหลวในทุกด้าน ขาดจินตนาการในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คิดแต่สร้างหนี้ ซ้ำการดำเนินนโยบายการทูตกับเพื่อนบ้านก็ผิดพลาด ถึงกับเอ่ยปากว่า หากไม่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะวิจารณ์ได้ถึงกึ๋นกว่านี้หลายๆ คนในพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของการบ่นตามอารมณ์แต่หากดูที่มาที่ไปว่า เป็นการ
ไปพูดเชิงวิชาการ เป็นการรับเชิญจากมูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชนร่วมกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม และโครงการหลักสูตรปริญญาโท สาขาการพัฒนาระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจัดงานเสวนาหัวข้อ Thailand in transition : a historic challenge and what next? ที่โรงแรมเชอราตัน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมาเมื่อเป็นการพูดทางวิชาการ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จึงได้พูดตรงๆ ตามหลักวิชาการ ถึงการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า
1.พรรคประชาธิปัตย์ขาดจินตนาการในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงเรื่องความเสมอภาคในเรื่องรายได้ โดยมุ่งเน้นแต่การก่อหนี้มหาศาลและใช้จ่ายสารพัดโครงการโดยไม่มีที่สิ้นสุด2.กังวล เรื่องปัญหาชายแดนภาคใต้ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547 มีผู้บาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งยังไม่นับรวมความขมขื่น ความทรงจำที่ย่ำแย่ บางครอบครัวพ่อเสียชีวิตก็จะส่งผลกระทบทั้งครอบครัว ซึ่งไม่ใช่แค่ผลกระทบเพียงคนๆ เดียว นโยบายต่อสถานการณ์ภาคใต้ของประชา
ธิปัตย์น่าผิดหวัง “เราบอกว่าเรารู้จักภาคใต้แต่เราไม่รู้จะทำอย่างไร”3.ปัญหาไทย -กัมพูชา โดยเปรียบเหมือน “a storm in a teacup” ซึ่งสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีลูกเล่นทั้ง “กระตุ้น” และ “กระทุ้ง” (poke and prod) ซึ่งรัฐบาลควรเรียนรู้เรื่องนี้จากสมเด็จฯ ฮุน เซน เพราะจะเห็นได้ว่าวันหนึ่งเขากล่าววิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยอย่างรุนแรง แต่วันรุ่งขึ้นก็มาเมืองไทยเพื่อร่วมประชุมอาเซียน และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“การตอบโต้ด้วยการเรียกทูต
ไทยประจำ กัมพูชากลับประเทศเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ Overreaction” ม.ร.ว.สุมขุมพันธุ์กล่าวถามว่ารุนแรงหรือไม่ หากในแวดวงของนักวิชาการแล้ว ไม่ถือว่ารุนแรงเลย แต่เป็นการพูดตรงตามข้อเท็จจริง เป็นเรื่องปกติในเวทีวิชาการ ที่ต้องเปิดกว้างและใจกว้างที่สำคัญต้องถือว่า จริงๆ แล้วเป็นการเตือนสติพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์หาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ หมดรักพรรคประชาธิปัตย์จริง คงไม่ยั้งเอาไว้ด้วยคำพูดที่ว่า“หากไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชา
ธิปัตย์จะพูดได้มากกว่านี้”ปัญหาก็คือ คนในพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจหรือไม่ ใจกว้างพอที่จะรับได้หรือไม่เท่านั้นเนื่องจากจุดอ่อนในเรื่องของการไม่มีผลงาน หรือผลงานสอบไม่ผ่านเป็นเรื่องที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์รับไม่ได้ จึงได้มีการใช้กลไกให้บรรดาคนรอบข้างบ้าง นักจัดรายการที่เป็นที่ปรึกษารับเงินค่าจ้างจากพรรคบ้าง หรือเป็นพวกกลุ่มที่จงรักภักดีกับพรรคประชาธิปัตย์บ้างออกมาเอ่ยอ้างอวดตนว่า ผลงานของรัฐบาลสอบผ่านอยู่แล้วโดยที่มีโพลล์หน้าเดิมอย่างเอ
แบคโพลล์ ออกมาขานรับอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ ว่ารัฐบาลทำถูก ประชาชนเห็นด้วย รัฐบาลสอบผ่านในขณะที่สำนักวิชาการอื่นๆ ที่ทำโพลล์เช่นกัน ผลออกมาเป็นคนละเรื่องเลย อย่างการทำโพลล์ของกรุงเทพโพลล์ ที่พบว่า คะแนนความพึงพอใจผลงานของรัฐบาล นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อทำงานครบ 1 ปี ได้คะแนนเฉลี่ย 3.87 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนและคะแนนความพึงพอใจการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชา
ชีวะ ได้คะแนนเฉลี่ย 4.70 จากคะแนนเต็ม 10สะท้อนว่าสังคมมองอย่างไร รู้สึกอย่างไร แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามรักษาหน้า หรือสร้างภาพเพียงใดก็ตามดังนั้นกรณีที่ ม.ร. ว.สุขุมพันธุ์ ลงนามคำสั่งปลด นายชีวเวช เวชชาชีวะ ออกจากตำแหน่งเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. และให้มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 52รวมทั้งได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งนางปิยาภรณ์ แสนโกศิก นักธุรกิจเอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์ ให้มาดำรงตำแหน่งแทน โดยจะเริ่มมีผลในวันที่ 4 มกราคมนี้เป็นต้นไป
จึงถูกจับตาในทันทีว่าจะบานปลายหรือไม่?... ปชป.จะร้าวลึกเพียงใด?เพราะแม้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะยืนยันว่าการปลดนายชีวเวช ไม่มีปัญหาส่วนตัวกับนายอภิสิทธิ์ ที่มีสถานภาพเป็นญาติกับนายชีวเวช แต่ต้องการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมในการบริหาร กทม.ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มองว่าการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ว่าฯ กทม.กับเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ต้องมีความเข้าใจที่ตรงกันจึงจะสามารถร่วมงานกันได้ดี แต่ที่ผ่านมากลับมีปัญหา แม้ว่าได้ให้เวลานายชีวเวชปรับตัวและ
รายงานให้นายอภิสิทธิ์ทราบมาตั้งแต่ต้น และนายอภิสิทธิ์เข้าใจ แต่นายอภิสิทธิ์ได้ขอโอกาสให้นายชีวเวชทำงานให้ครบปีก่อน“ดังนั้นเมื่อผมปลดจึงไม่จำเป็นต้องรายงานให้ทราบ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของผมโดยตรง” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวส่วนคนตระกูลเวชชาชีวะจะไม่แฮปปี้กับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์บอกว่า ก็ไม่เห็นมีใครมาว่าอะไร เพราะเป็นเรื่องของคนๆ เดียว “ท่านนายกฯ เองก็ไม่เห็นว่าอะไร”ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่าย
ความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลี่ยงที่จะขอไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจที่จะไปดูแลอย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังประเมินว่า นายอภิสิทธิ์ ซึ่งให้การสนับสนุนนายชีวเวชในทางการเมืองมาตลอด หนีไม่พ้นที่จะต้องเจ็บลึกอยู่ในใจส่วนจะมีรายการรอชำระบัญชีแค้นหรือไม่นั้น คงไม่มีใครที่จะตอบได้ดีไปกว่านายอภิสิทธิ์แน่