ที่มา สยามรัฐ
วิทยา ตัณฑสุทธิ์21/12/2552
รัฐบาล นอมินี
ใกล้สิ้นปีพ.ศ.2552 มีการจัดอันดับบุคคลดีเด่นแห่งปี และรายการ “คริสต์มาสที่ทำเนียบขาว” ของโอปราห์ วินฟรีย์ นักจัดรายการทีวี.ชื่อดังสัมภาษณ์นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยตั้งคำถามว่าให้คะแนนตนเองอยู่ในระดับไหน
นายโอบามาตอบว่า “ได้คะแนน บีบวก” เพราะ 11 เดือนที่บริหารประเทศ แม้จะทำงานสำคัญสำเร็จตามเป้าหลายเรื่องเช่นการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพ,การถอนทหารออกจากอิรัก ,การอยู่ในแนวทางที่ถูกต้องในการทำศึกที่อัฟกานิสถาน และการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของสหรัฐบนเวทีโลก
แต่ยังมีงานอีกมากที่ทำไม่สำเร็จ โดยเฉพาะที่ตั้งใจทำก็คือการแก้ปัญหาคนว่างงาน และการจัดสวัสดิการสังคมด้วยการผลักดันให้มีกฎหมายปฏิรูประบบดูแลรักษาสุขภาพ
ก่อนหน้านี้นายโอบามาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ แต่ถัดมาเพียงไม่กี่วันเขาก็ทำเหมือนตบหน้าผู้ให้รางวัลนี้ด้วยการเพิ่มทหารสหรัฐอีกกว่า 3 หมื่นคนเข้าไปทำสงครามในอัฟกานิสถาน
นิตยสาร “เดอะ ไทม์ส” ของสหรัฐก้จัดอันดับเช่นกัน โดยปีนี้ยกย่องนาย เบน เบอร์นันเก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟค) ให้เห็น “บุคคลดีเด่นแห่งปี” เพราะวิสัยทัศน์ของนายเบนที่มองปัญหาอย่างรอบด้านและลึกซึ้ง ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐตั้งลำได้ การจัดอันดับครั้งนี้มีคนสำคัญได้รับการเสนอชื่อเข้าแข่งขันหลายคน รวมทั้งนายบารัก โอบามาด้วย
การจัดอันดับบุคคลดีเด่นในแต่ละปี เป็นการตรวจสอบว่าคนเหล่านั้นทำผลงานอะไรไว้บ้าง และองค์กรที่ทำในเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คือพวกสื่อสารมวลชน ซึ่งไม่ได้ฝ่ายใดพวกไหน
ในเมืองไทยก็จัดอับดับกันทุกปี ที่เด่นดังก็คือการตั้งฉายานายกฯและรมต.ของผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อมูลข่าวสารรอบปีพ.ศ.2552 แล้ว พบว่ารัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สอบไม่ผ่าน เพราะไม่มีผลงานอะไรที่ทำสำเร็จอย่างที่คุยอวดอ้างไว้
ก่อนเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 พรรคประชาธิปัตย์ติดป้ายโฆษณาว่า “เลือกพรรคประชาธิปัตย์ กาเบอร์ 4 ให้เป็นรัฐบาล” เพื่อทำงานให้เกิดผลจริงใน 99 วันในเรื่องการเรียนฟรี,การตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงแจกเงินให้ตำบลละ 1-2 ล้านบาท,การแก้ไขปัญหาชายแดนภายใต้ และการเลิกส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน
เรื่องเรียนฟรีแม้จะไม่เก็บค่าเล่าเรียนและแจกตำราอุปกรณ์การเรียน แจกเครื่องแบบฟรี แต่ผู้ปกครองโดนเก็บเงินค่าใช้จ่ายพิเศษที่แฝงมาในลักษณะกดดันบังคับให้จ่าย เช่น ค่าเรียนคอมพิวเตอร์นอกเหนือจากที่มีอยู่ในหลักสูตร ค่าเรียนเสริมในบางวิชา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทัศนศึกษา ค่าทำกิจกรรมพิเศษ ฯลฯ เงินเหล่านี้รวมแล้วมากกว่าค่าเล่าเรียน
เรื่องการตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง ปรากฏว่าพอเริ่มโครงการก็มีนายหน้าวิ่งเต้นทุจริต ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ และเงินที่จะจ่ายให้แต่ละตำบลยังไม่ได้จ่ายออกไปให้ครบถ้วน ส่วนเรื่องยกเลิกการเก็บเงินเข้าทุนน้ำมันปรากฏว่ารัฐบาลทำสวนทางกับคำพูดคือยังเก็บเหมือนเดิม แถมบวกภาษีสรรพสามิตเพิ่มทำให้ราคาน้ำมันแพงมากขึ้น
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่รู้จักวิธีหารายได้ ทำเป็นแต่การกู้เงินซึ่งจนถึงขณะนี้คนไทยมีหนี้หัวละกว่า 8 หมื่นบาท ยอดหนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 70 % ของจีดีพี เศรษฐกิจทรุด คนตกงานยังหางานทำได้ลำบาก ประชาชนมีสภาพสิ้นหวังมองเห็นอนาคตมืดมน
ที่น่าวิตกก็คือ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สร้างศัตรูไว้รอบด้าน โดนสมเด็จฮุน เซน ตอกกลับรุนแรงถึงขั้นประกาศไม่ต้องการมีสัมพันธ์กับรัฐบาลไทยชุดนี้ จะรอให้มีรัฐบาลใหม่เข้ามาจึงจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กัน
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำตัวเหมือนทองไม่รู้ร้อน ใครด่าก็หาว่าเป็นพวกทักษิณที่จ้องล้มรัฐบาล ใครขับไล่ออกไปก็ยืนกรานไม่ออกเพราะมีผลงานสำเร็จมากมาย ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเสียหาย
คนไทยในรอบปีพ.ศ.2552 ตกอยู่ใต้การบริหารงานของรัฐบาลที่มีความอดทนเหนียวแน่นผิดมนุษย์ รัฐบาลชุดนี้ถือกำเนิดจากการอุ้มชูของหลายฝ่าย ซึ่งช่วยกันโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงถูกนักข่าวสายทำเนียบตั้งฉายาว่า “รัฐบาลเทพประทาน”
ปีนี้รัฐบาลทำท่าจะหมดบุญ เพราะที่ทำมาหนึ่งปีเป็นได้แค่ “รัฐบาลหุ่น” ต้องหันซ้าย หันขวา ทำตามคำบงการของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งถ้าหากไม่มีใครอุ้มชูเหมือนแต่ก่อน ก็จะเหี่ยวแห้งอับเฉาลง