ที่มา Thai E-News
เหยื่อพวกคลั่งชาติ-(บน)เจ้าหน้าที่อุ้มหญิงชราชาวบ้านที่ถูกอพยพออกจากหมู่บ้านใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อหลบภัยไปยังแหล่งพักพิงรองรับการอพยพชั่วคราวในจังหวัดศรีสะเกษอย่างทุลักทุเล (ภาพข่าว:รอยเตอร์)(ล่าง)ผู้ไร้ที่อยู่อาศัยชาวกัมพูชาอพยพออกจากพื้นที่"ทับซ้อน" ตามที่พันธมิตรฯต้องการไปยังที่พักพิงรองรับการอพยพชั่วคราว หลังเกิดการสู้รบของทหารไทยกับกัมพูชา(ภาพข่าว:รอยเตอร์)
โดย ชำนาญ จันทร์เรือง
7 กุมภาพันธ์ 2554
ท่ามกลางควันปืนและลูกระเบิดที่คละคลุ้งบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ภาพของการอพยพหนีตายของพี่น้องไทยและกัมพูชาได้เผยแพร่ไปทั่วประเทศทั้งสอง
ทั้งในรูปแบบของการรายงานตามข้อเท็จจริง และรูปแบบของการปลุกกระแสแห่งความรักชาติให้พลุ่งพล่านว่า หนอยแน่ะเอ็งเป็นประเทศเล็กกระจ้อยร่อยบังอาจหาญกล้ามาราวีกับประเทศใหญ่กว่าอย่างข้า
ในทำนองกลับกันทหารไทยที่ไม่เคยรบชนะใครเลยตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นต้นมานอกจากชนะประชาชนของตัวเองบังอาจมารบกับประเทศของข้าที่รบชนะมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือคอมมิวนิสต์ใหญ่ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลยต้องสั่งสอนเสียให้เข็ด
ในทำนองกลับกันฝ่ายกัมพูชาก็ปลุกระดมให้เห็นถึงการเอารัดเอาเปรียบของพี่ไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันว่า บรรดาปราสาททั้งหลายมันก็ชัดๆอยู่แล้วว่าเป็นปราสาทขอม ยังจะมีหน้ามาฮุบเอาของเราอีก ขนาดศาลโลกตัดสินแล้วยังตะแบงว่า ตัดสินให้เฉพาะตัวปราสาทพระวิหารแต่ไม่ให้พื้นดินที่อยู่ข้างใต้
มิหนำซ้ำจอมพลสฤษดิ์ยังดันมาทำรั้วกั้นที่เอาตามอำเภอใจเสียอีก อย่ากระนั้นเลยต้องรบกับพี่ไทยเสียให้รู้เรื่องเสียที จะได้มีเรื่องมีราวไปถึงศาลโลกและสหประชาชาติ ซึ่งเขมรมั่นใจว่าชนะแหงๆ และยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปิดตัวทายาททางการเมืองของสมเด็จอัครมหาเสนาบดี ฮุน เซ็น คือ บุตรชายสุดรักที่ชื่อว่าพลจัตวาฮุน มาเน็ต ให้พี่น้องชาวกัมพูชาคุ้นชินเป็นเบื้องต้น
ในบรรดาความโง่ของมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีความโง่ใดใดที่จะเทียบเท่ากับการที่เข้าห้ำหั่นเอาชีวิตมนุษย์ด้วยกันเพียงเพื่อกองหินเก่าๆ กับพื้นดินที่ไร้ค่าโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องอธิปไตย
โดยการเอาเลือดทาแผ่นดินเพื่อสนองตัณหาของผู้บริหารประเทศที่โง่เง่าและไม่รู้จักพอของทั้งสองฝ่ายที่ดีแต่ปากให้สัมภาษณ์ว่ากันไป ว่ากันมา ออกแถลงการณ์โต้กันไปโต้กันมาจากในห้องแอร์ โดยมีพี่น้องร่วมชาติทั้งสองชาติต้องเป็นผู้รับเคราะห์กรรม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมมานึกทบทวนว่าการศึกสงครามนั้นมันเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่แน่นอนว่ามันก็ย่อมป้องกันที่จะไม่ให้มีการเกิดขึ้นได้เสมอเช่นกัน
ในส่วนของกัมพูชานั้นผมคงงดเว้นที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เพราะดีไม่ดีจะเข้าข่ายติชมอริราชศัตรูผิดอาญาแผ่นดินเข้าจะเดือดร้อนกันไปเปล่าๆ แต่ที่แน่ๆก็คือคนที่สามารถสั่งให้คนไปตายด้วยการรบกันเพื่อสนองตัณหาทางการเมืองของตนได้นั้นย่อมไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
หันมาพิจารณาในฝ่ายพี่ไทยเรา(ก็ไม่รู้ว่าได้รับการยกให้เป็นพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆประเทศเพื่อนบ้านเราไม่มีประเทศไหนชอบเราสักประเทศ) แล้วพบว่า จากเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมาจนเกิดเหตุลุกลามใหญ่โตเป็นสงคราม ผู้คนอพยพหนีตายกันจ้าละหวั่นยิ่งกว่าครั้งใดใดตั้งแต่สงครามโลกเกิดขึ้นมาแล้วจะพบว่า ประเทศเรานั้นโชคดีจริงๆที่มีสิ่งต่างๆเหล่านี้
๑) ประเทศไทยโชคดีที่มีอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนายกที่มีความรู้ การศึกษา ชาติตระกูลดี มีอำนาจพิเศษหนุนหลัง ไม่ว่าจะเป็นจากกองทัพ(ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ) ไม่ว่าจะเป็นผู้มากบารมีทั้งหลายเพราะกระชับพื้นที่จนคนตายไป ๙๑ ศพ ยังอยู่รอดปลอดภัย ไม่มีใครสามารถเอาความได้
แต่ประเทศไทยก็โชคไม่ดีเช่นกันที่มีอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะไม่มีการตัดสินใจที่เด็ดขาด มีแต่ความโลเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนโยบายการต่างประเทศกับกัมพูชา แข็งก็ไม่แข็งจริง อ่อนก็ไม่อ่อนจริง จนผู้นำกัมพูชาจับไต๋ได้ถูกว่าอย่างไรเสียหากมีการสู้รบเกิดขึ้นนายกอภิสิทธิ์คงจะออกอาการแหยเสียเป็นแน่
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้อยคำที่ดุดันดันแข็งกร้าวให้เอาธงลง ตอนก่อนปะทะกัน ฯลฯ ไม่มีให้เห็น ไม่ได้แม้สักเสี้ยวหนึ่งของวินสตัน เชอร์ชิลอดีตผู้นำของประเทศที่ตนเองกำเนิดและไปร่ำเรียนมา กลายเป็นใบ้ไปเสียเฉยๆซะอย่างนั้น
๒) ประเทศไทยโชคดีที่มีรัฐมนตรีการต่างประเทศที่มีประสบการณ์ในทางการทูตมาอย่างยาวนานชื่อ กษิต ภิรมย์ รู้ทางหนีทีไล่ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ มิหนำซ้ำยังเป็นสหายของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เข้มแข็งจนถึงกับเคยขึ้นเวทีของพันธมิตรฯมาแล้ว ถึงกับออกปากชมการชุมนุมว่า “อาหารดี ดนตรีเพราะ” จนได้รับการส่งเข้าประกวดจากพันธมิตรฯให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่ามีกองหนุนที่แน่นปึ๊ก(แต่ตอนนี้ด่ากันแล้ว)
แต่ประเทศไทยก็โชคไม่ดีเช่นกันที่มีรัฐมนตรีว่ากระทรวงการต่างประเทศที่ชื่อกษิต ภิรมย์ เพราะเคยปราศรัยด่าฮุน เซ็น ว่าเป็นกุ๊ย แต่ก็ต้องไปเจรจาความเมืองกับประเทศที่มีผู้นำที่ถูกตนเองด่าว่าเป็นกุ๊ย แล้วจะไปเหลืออะไร เพราะแม้แต่กำลังเจรจาอยู่กับเขาในประเทศเขาเองแท้ๆ เขายังสั่งยิงทหารไทยที่ชายแดนเลย ออกจากประเทศเขากลับมาได้ก็บุญแล้ว
๓) ประเทศไทยโชคดีที่มีสมณะและฆราวาสผู้ทรงศีลสนับสนุนการชุมนุมของประชาชนทั้ง(เคย)สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล การชุมนุมจึงเป็นไปด้วยน่าเลื่อมใสเพราะเป็นการชุมนุมของผู้ทรงศีล ความคิดเห็นและการแสดงออกต่างๆจึงน่าจะเป็นไปอย่างสร้างสรรค์
แต่ประเทศไทยก็โชคไม่ดีที่ผู้ทรงศีลเหล่านั้นกลับสนับสนุนให้ยึดติดกับเศษหินเก่าๆ พื้นที่ดินเล็กๆที่ไร้ประโยชน์ โดยสนับสนุนให้มีการใช้กำลังทหารเข้าต่อสู้ฟาดฟันกัน เปิดดูตำราพุทธศาสนาเล่มไหนก็ไม่เห็นมีว่าให้พุทธศาสนิกรบกันเพื่อแย่งชิงสิ่งต่างๆเหล่านี้
เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการดำเนินของกลุ่มนี้มีผลผลักดันให้รัฐบาลอภิสิทธิดำเนินการในหลายมาตรการ เช่น การจะให้เอาธงกัมพูชาลง และจนถึงที่สุดจนถึงกับจะรื้อวัดแก้วเสียด้วยซ้ำไป(ไม่รู้คิดได้อย่างไร)
๔) ประเทศไทยโชคดีที่มีผู้บัญชาการทหารบกคือพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารอาชีพ ไม่เคยได้ยินถึงการแสดงความเห็นทางการเมือง(ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว) มีบุคคลิกที่เข้มแข็งดุดันจนได้ฉายาว่าสฤษดิ์น้อย ซึ่งยังเป็นที่ถวิลหาของพวกอำนาจนิยมทั้งหลาย ที่ยังกล่าวถึงจอมพลสฤษดิ์อยู่เสมอเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบหรือเกิดเพลิงไหม้
แต่ประเทศไทยก็โชคไม่ดีที่ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้เข้มแข็งและดุดันเฉพาะกับนักข่าวถึงกับ ชี้หน้าอยู่เป็นประจำเมื่อถูกถามถึงการรัฐประหาร ไม่ได้เข้มแข็งดุดันให้ทหารเขมรได้กลัวเกรงถึงแสนยานุภาพของทหารไทยที่เขมรจะต้องคิดหนักเมื่อจะต้องรบกับไทยเลย มิหนำซ้ำยังแสดงอาการหลุดให้เห็นบ่อยๆเมื่อมีการให้สัมภาษณ์ ไม่ให้สัมภาษณ์บ้างก็ได้นะครับ เสียบุคคลิกโหม้ด
อย่างไรก็ตามไม่ว่าไทยกับกัมพูชาจะรบหรือไม่รบกันจนผู้คนตายกันเป็นเบือก็ตาม สุดท้ายก็ต้องจบลงที่การเจรจา แต่ผลของการเจรจานั้นย่อมขึ้นอยู่ที่ฝ่ายใดเป็นผู้มีอำนาจในการต่อรองที่เหนือกว่า
หากเรายังมีผู้ที่เกี่ยวข้องดังสี่ประการข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว ก็อย่าหวังว่าเราจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าเลย แค่ศึกภายในยังเอาไม่อยู่แล้ว
ศึกนอกที่ใหญ่โตกว่าเช่นนี้ ก็เป็นอันสิ้นหวังครับ
--------------------------
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:
-UNจี้ยุติสงคราม ชุมนุมเพรียกหาสันติภาพ