ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ
ผลจากการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณชายแดน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ใกล้กับเขาพระวิหาร 3 วันซ้อน
มีพลเรือนและทหารไทยเสียชีวิต 2 ราย
ในจำนวนคนตายและบาดเจ็บ ไม่มีใครเลยที่อยู่ในกลุ่มของคนกระหายสงคราม ที่ปักหลักชุมนุมเย้วๆ อยู่ในกรุงเทพฯ ห่างจากจุดปะทะเกือบ 600 กิโลเมตร
ชาวบ้านที่ตายนั้นชื่อนายเจริญ ผาหอม อายุ 59 ปี เป็นชาวบ้านภูมิซรอล สภาพศพถูกระเบิดที่ยิงมาจากฝั่งเขมรตกใส่หัวขาดกระจุย
ไม่ได้ตายเพราะโดนแก๊สน้ำตาหรือตายเพราะแอบพกระเบิดไว้กับตัวเอง
ส่วนทหารคือส.อ.วุธชรินทร์ ชาติคำดี เป็นทหารจากกองพันทหารราบที่ 162 จังหวัดยโสธร ตายเพราะถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ศีรษะ
ไม่ได้ตายเพราะดันซุกระเบิดไว้ในรถยนต์ของตนเอง แล้วพลาดพลั้งระเบิดตูมตามขึ้นมา
เป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสมแล้วที่แม่ทัพภาค 2 เร่งเปิดโต๊ะเจรจากับผู้นำทหารฝ่ายเขมรโดยทันทีหลังเกิดการปะทะกันของสองฝ่ายไม่นาน
เป็นการยืนยันว่าสงครามยุติได้ก็แต่บนโต๊ะเจรจาเท่านั้น
การใช้ผืนแผ่นดินเป็นเวทีประชันแสนยานุภาพด้านการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเอาชีวิตประชาชนและนายทหารชั้นผู้น้อยเป็นเดิมพันนั้น
ไม่ถือเป็นความกล้าหาญ แต่เป็นความบ้า
เฉพาะงานนี้ต้องชื่นชมทหารกองทัพ ไล่มาตั้งแต่ รมว.กลาโหม ผบ.ทบ. แม่ทัพภาค 2 ที่กำหนดยุทธวิธีตอบโต้ทหารกัมพูชาอย่างสมน้ำสมเนื้อ
ไม่มากไปแต่ก็ไม่น้อยไป
ที่สำคัญคือทหารไม่ได้บ้าไปตามกระแส "คลั่งชาติ" ของพวกกระหายสงคราม
ที่พยายามนำปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศมาขยายผลโค่นล้มรัฐบาล โดยใช้กองทัพเป็นเครื่องมือเหมือนที่เคยทำสำเร็จมาแล้วสมัยกำลังฮอต
แต่ครั้งนี้คนไม่เอาด้วยก็เลยมากันหร็อมแหร็ม
ขนาดวันครบเส้นตายประกาศยกระดับเคลื่อน ไหว ขับไล่นายกฯ อภิสิทธิ์ และรัฐบาลทั้งคณะ วันหยุดแท้ๆ ยังมากันแค่หลักพัน
เพื่อพิสูจน์ความรักชาติ ที่ไม่ใช่รักแต่ปาก
มีคนเสนอว่าให้พวกกระหายสงครามย้ายเวทีจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ เดินทางอีก 600 กิโลเมตรไปอยู่แถวๆ ภูมะเขือ
อยากรู้ว่าคนเก่งที่คุยโตโอ้อวดว่าผ่านกระสุนมาแล้ว 200 นัด หรือท่านมหาหงำเหงือกที่ผ่านสงครามมาแล้วสิบทิศ
จะกล้ามั้ย