ปรับฮวงจุ้ยซ้ำอีกรอบ
คราวนี้เอา”มะขาม”สู้”!
ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆไปแล้ว ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย กับสมเด็จฯฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา
เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างว่า แต่ละฝ่ายเป็นผู้เริ่มต้นยิงก่อน ก็เลยต้องยิงตอบโต้
ซ้ำตอนนี้ในเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็มีความพยายามที่จะหาคนกลางให้มาเข้าข้างฝ่ายของตน โดยทั้ง 2 ฝ่ายเล็งไปที่องค์การสหประชาชาติ เลยแย่งกันฟ้องไปทางยูเอ็น ว่าโดนรุกราน โดนรังแกก่อน
งานนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้เรียกร้องให้สหประชาชาติส่งกำลังเข้ามา และสร้างเขตกันชนเพื่อรับประกันว่า จะไม่มีการสู้รบกันอีก ระหว่างทหารไทยและกัมพูชา
อ้างว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังคงย่ำแย่ และไม่มีฝ่ายใดฟังคำห้ามของฝ่ายอีกต่อไป
และเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เรียกประชุมฉุกเฉิน โดยกล่าวหาว่าไทยได้กระทำการรุกรานซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาเสียชีวิต
ที่สำคัญอ้างว่าปีกของปราสาทเขาพระวิหารพังถล่มบางส่วน จากการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา
ซึ่งนายบัน คี-มุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แสดงความวิตกกังวลอย่างมากต่อเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดน พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงเพื่อยุติความขัดแย้ง
โฆษกของนายบันเปิดเผยแถลงการณ์ โดยระบุว่า ท่านเลขาธิการฯ วิตกกังวลอย่างมากหลังได้รับรายงานการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน ประชาชนต้องอพยพออกจากพื้นที่ และบ้านเรือนได้รับความเสียหาย
“ท่านเลขาฯ ขอให้ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงเพื่อยุติความขัดแย้ง และใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด” แถลงการณ์ระบุ
ซึ่งนายบัน ยังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าหาวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืน ผ่านกลไกและการจัดการซึ่งเป็นที่ยอมรับ การเจรจา รวมถึงความสัมพันธ์อันดีในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน โดยย้ำว่า
“สหประชาชาติยังคงพร้อมสนับสนุนความพยายามในการสร้างสันติภาพครั้งนี้”
ในขณะที่ทางไทยนั้น นายอภิสิทธิ์ ยังคงปล่อยให้เรื่องนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการ อย่างรุนแรงสักปานใดก็ตาม
เพราะดูเหมือนว่านายอภิสิทธิ์ จะให้น้ำหนักความสนใจกับปัญหาในเรื่องของม็อบพันธมิตรมากกว่า
ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เริ่มโล่งใจแวที่สหประชาชาติออกมาแสดงท่าทีว่าต้องการให้ยุติความขัดแย้งและสร้างสันติภาพ
กับอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า กองทัพไทย ทหารไทย อาจจะมีการเสียเปรียบทางกองทัพกัมพูชา และทหารกัมพูชา เนื่องจากเขมรมีสงครามในประเทศที่ยาวนาน จึงน่าจะมีความชำนาญในเรื่องการรบมากกว่าทหารไทย
แต่หากจับกระแสก็จะเห็นว่า มีการพูดถึงการสูญเสีย ที่ออกมาในทำนองว่าทางกัมพูชาสูญเสียมากว่าไทย โดยเฉพาะในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิต ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีรายงานตัวเลขของผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตที่แน่ชัดอย่างเป็นทางการ
แต่อย่างน้อยรัฐบาลกัมพูชาก็ไม่ได้มีการปฏิเสธตัวเลขที่ว่ามีชาวกัมพูชาเสียชีวิต 3 คน ในจำนวนนี้เป็นทหาร 2 นาย
และประเด็นที่น่าจับตาก็คือ มีการพูดกันถึงความสูญเสียของฝั่งกัมพูชา โดยมีตัวเลขสูญเสียค่อนข้างสูง มีกระแสข่าวลือที่ว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 64 ศพ
ซึ่งแน่นอนว่าหากเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ก็แสดงว่ากองกำลังทหารของไทย ยังมีขีดความสามารถทีเหนือกว่ากัมพูชาอยู่เป็นอย่างมาก
และไม่แปลกหากพบว่า มีการเสียหายในระดับตาย 64 ศพ จริงๆ ทางกัมพูชาก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องให้ทางสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบ ไล่เรียงว่าไทยกระทำผิดตามที่กัมพูชากล่าวหาจริงหรือไม่
ซึ่งในแง่ของข้อมูลกระแสข่าวดังกล่าว จะต้องมาถึงผู้นำไทยแล้วเช่นกัน เพราะอย่างน้อยที่สุด นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลไทย ยอมรับว่าการตอบโต้ของไทยเป็นลักษณะจำกัดคือตอบโต้ทางทหารเท่านั้น เบื้องต้นรัฐบาลได้รับรายงานว่า ฝั่งกัมพูชามีตัวเลขสูญเสียค่อนข้างสูง
ส่วนข่าวลือที่ว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 64 ศพ อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกสักพัก
จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ที่รู้งานนี้นายอภิสิทธิ์ ฉวยจังหวะในทันที โดยระบุว่า การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกควรชะลอไว้ก่อน
การมองข้ามชอต ไม่สนใจเรื่องการปะทะกัน เรื่องความสูญเสีย และแม้แต่กระทั่งเรื่องข่าวลือทหารกัมพูชาตาย 64 คน แต่กลับไปบอกว่าควรหยุดการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกไว้ก่อน ต้องถือว่านายอภิสิทธิ์ ในวันนี้เหี้ยมเกรียมไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เพราะยิ่งมีการรับลูกกันโดยนายสุทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ที่ออกมาพูดความพยายามที่จะเรียกร้องให้อาเซียนเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา ว่า ส่วนตัวคิดว่ายังอยู่ในวิสัยที่ 2 ประเทศสามารถพูดคุยกันได้เอง
ส่วนเรื่องที่ทางกัมพูชารีบไปร้องต่อยูเอ็น แต่ไทยยังบอกว่าต้องประชุมกันก่อน ว่าจะร้องไปยูเอ็นหรือไม่ ทำให้ดูเหมือนว่าตามหลังอยู่ตลอดนั้น รองนายกฯ กล่าวว่า มันไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตรที่จะต้องแข่งกันเป็นวินาที ก็มีเวลาที่จะทำงานได้ ยืนยันว่าเราไม่เสียเปรียบหรอก
“เชื่อผมเถอะ เราไม่ได้ขาดทุน ไม่ได้เสียเปรียบอะไร เราก็ดูแลปกป้องอธิปไตยของประเทศ ดูแลศักดิ์ศรีของประเทศไทยให้ดีที่สุด ทุกฝ่ายก็ทำหน้าที่ตัวเอง ปัญหาคือหากพวกเรากดดันกันมาก ๆ คนที่ทำหน้าที่เขาก็จะรน และระส่ำระสาย ดังนั้นผมยืนยันอีกครั้งว่าตั้งแต่เกิดเหตุมา ประเทศไม่เสียเปรียบเลย และในการปฏิบัติการรบประเทศไทยก็ไม่เสียเปรียบเลย แต่เราจะไปพูดให้มันมีผลทำให้เหตุการณ์บานปลายขึ้นมาไม่ได้ รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดความเสียหาย หรือเกิดการปะทะขึ้น รัฐบาลถึงพยายามเรียกร้องว่าให้ใจเย็นกันหน่อย ค่อย ๆ พูดจากัน”นายสุเทพ กล่าว
สะท้อนชัดเจนแล้วว่า งานนี้เมื่อกำลังทหารไทยยังมีความเข้มแข็ง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ถือว่าเป็นแต้มต่อที่จะไม่ยี่หระกับเรื่องปะทะกันครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าไม่ว่าอย่งไรเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็ไม่มีทางกระเด็น เพราะปัญหาไทย-กัมพูชาแน่
แต่นายอภิสิทธิ์ กลับให้ความสำคัญกับปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาม็อบพันธมิตร ที่ออกมากดดันเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะหมดความชอบธรรมแล้ว
ตรงนี้ต่างหากที่นายอภิสิทธิ์รู้ดีว่า หากรับมือพลาดมีหวังเด้งออกจากเก้าอี้ แถมยังดับฝันในการที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 2 ด้วย
เพราะจะเห็นว่าไม่เพียงม็อบพันธมิตรจะขู่ว่าหมดเวลาเจรจาแล้ว แต่แกนนำอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเคยเชื่อกันว่า การชุมนุมครั้งนี้ทำเพื่อสร้างเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติ
แต่ปรากฏว่าล่าสุดบนเวทีม็อบพันธมิตร ในช่วงการประกาศยกระดับการชุมนุมไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์นั้น นายสนธิ ได้ออกมาโจมตีพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อย่างหนัก ลามไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วย
จากที่เคยเชียร์ๆ พล.อ.ประยุทธ์ กลายมาเป็นอัดใส่เต็มๆ ทำให้น้ำหนักในเรื่องการต้องการให้ พล.อ.ประยุทธทำปฏิวัติรัฐประหาร หายไปในทันที
เกมนี้ส่อแววแตกหัก และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทำท่าว่าจะไม่ได้สบายๆเหมือนกับกรณีกัมพูชาแน่
เพราะแม้ว่า จำนวนคนที่มาชุมนุมของม็อบพันธมิตร อาจจะไม่สูงมาก กลางวัน 500 กลางคืนไม่เกิน 2,000 คน
แต่พอเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ผู้ชุมนุมกลับเพิ่มปริมาณขึ้นกว่าเท่าตัว แม้จะยังไม่ถึงหลักหมื่น แต่ก็ช่วยให้แกนนำพันธมิตรฯเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ถึงขนาดเตรียมงัดกลยุทธดาวกระจายกลับมาใช้อีก ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์
ทั้งๆ ที่หากจะทำให้แผนดาวกระจายได้ผล จะต้องใช้คนชุมนุมเป็นเรือนหมื่น แต่กระนั้นก็ยังสร้างความตื่นตระหนก และสร้างความหนักใจให้กับนายอภิสิทธิ์อย่างเห็นได้ชัด
ถึงขนาดที่ชงเรื่องให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เสนอขอให้มีการใช้ พ.ร.บ.รักษาความั่นคง ขอคืนพื้นที่จากม็อบ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเจรจาไม่เคยสำเร็จมาโดยตลอด
แน่นอนว่างานนี้หากมองว่า พล.ต.อ.วิเชียร เปลืองตัว ก็ไม่ผิด แต่ที่ต้องมองลึกลงไปก็คือ ทำไมรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ จึงได้เกรงอกเกรงใจม็อบพันธมิตรมากเป็นพิเศษขนาดนี้???
ทั้งๆที่หากมองดูแล้ว จะเห็นว่าแม้แต่ประชาชน แม้แต่สื่อยังให้ความสำคัญหรือให้ความสนใจกับม็อบพันธมิตร น้อยกว่าปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเสียอีก
แต่เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ กลับระวังจนตัวลีบ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีการกุมไต๋อะไรกันไว้ลึกแค่ไหน หรือว่าอ่านสัญญาณพิเศษอะไรได้!!!
เพราะต้องไม่ลืมว่า หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การที่จะเอานายกรัฐมนตรีลงจากเก้าอี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การปฏิวัติรัฐประหารก็ได้
แค่เรื่องจัดรายการโทรทัศน์ทำอหารชิมอาหาร ก็เด้งจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้เห็นๆมาแล้ว
ซึ่งนายอภิสิทธิ์นั้น ในเวลานี้มีหลายประเด็นที่จริงๆแล้วไม่สามารถที่จะเคลียร์ได้ เพียงแต่ได้รับการ “อุ้ม”จากขั้วอำนาจพิเศษ ทำให้ไม่ถูกยุบพรรค ทำให้หลายๆเรื่องกลายเป็นเรื่องตีขลุมทางกฎหมายเอาดื้อๆ
แต่หากลมเปลี่ยนทิศขึ้นมา นายอภิสิทธิ์ อาจจะถูกม็อบพันธมิตรตะเพิดลงจากเก้าอี้ได้สำเร็จก็ได้
ฉะนั้นไม่แปลกที่นายอภิสิทธิ์ จะกังวลกับม็อบพันธมิตรมากกว่าเหตุปะทะกับกัมพูชา
ยิ่งทีมงานรอบข้างนายอภิสิทธิ์ ยิ่งกังวลหนัก เพราะมองว่านายอภิสิทธิ์กำลังดวงตก มีพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกไม่ได้หยุดหย่อน
ล่าสุดหมาดๆเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็เลยมีรายการเอาหมอฮวงจุ้ยไปแก้เคล็ดที่ทำเนียบอีกรอบ!!!
โดยคณะทำงานของ นายอภิสิทธิ์ ได้นำซินแสมาทำการปรับฮวงจุ้ย ที่บริเวณประตู 7 ซึ่งเป็นประตูที่ ครม.ใช้เป็นเส้นทางผ่านเข้า-ออกเวลามีการประชุม ครม.ทุกวันอังคาร โดยนำกระถางต้นไม้ที่ปลูกต้นมะขาม สูงประมาณ 1 เมตร มาตั้งวางไว้ด้านหลังตู้ไฟฟ้าสำรอง จำนวน 7 ต้น
และห่างออกไปประมาณ 7 เมตร ก็มีต้นจันทร์กระจ่างฟ้า ใส่กระถาง มาตั้งไว้อีก 7 ต้น
ตำราไม้มงคล ระบุว่า ต้นมะขาม หากปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ของบ้าน จะช่วยป้องกันสิ่งไม่ดี ผีร้าย มิให้มากล้ำกลาย ที่สำคัญใครปลูกแล้วจะได้รับการเกรงขาม ...
ปัญหาก็คือ นายอภิสิทธิ์ จะสามารถสร้างความเกรงขามให้กับนายสนธิ พล.ต.จำลอง และกลุ่มม็อบพันธมิตร ได้หรือไม่???
ส่วนต้นจันทร์กระจ่างฟ้า ถือเป็นดอกไม้ที่ทั้งรูปงาม นามเพราะ เชื่อกันว่าบ้านใดปลูกไว้ จะทำให้ผู้อาศัยมีวาสนาสูงส่ง ครอบครัวร่มเย็นดุจอยู่ใต้ดวงจันทรา โดยเชื่อว่าควรปลูกให้หันหน้าไปทางทิศบูรพา
งานนี้ถึงขนาดต้องพึ่งพาไสยศาสตร์กันอีกรอบ ซึ่งก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าจะช่วยนายอภิสิทธิ์ให้รอดปลอดโปร่งได้จริงหรือไม่
หรือว่า สุดท้ายแล้ว “ยุบสภา”จะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุด
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ก็เคยเปรยๆแล้วว่า หลังแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ผ่านเรียบร้อย
การยุบสภาก็เป็นไปได้ไม่ยาก