WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, February 9, 2011

‘เขมร’ กับ ‘ม็อบ’ มาร์คกลัวอะไร?

ที่มา บางกอกทูเดย์





ปรับฮวงจุ้ยซ้ำอีกรอบ
คราวนี้เอา”มะขาม”สู้”!
ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆไปแล้ว ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย กับสมเด็จฯฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา
เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างว่า แต่ละฝ่ายเป็นผู้เริ่มต้นยิงก่อน ก็เลยต้องยิงตอบโต้

ซ้ำตอนนี้ในเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็มีความพยายามที่จะหาคนกลางให้มาเข้าข้างฝ่ายของตน โดยทั้ง 2 ฝ่ายเล็งไปที่องค์การสหประชาชาติ เลยแย่งกันฟ้องไปทางยูเอ็น ว่าโดนรุกราน โดนรังแกก่อน

งานนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้เรียกร้องให้สหประชาชาติส่งกำลังเข้ามา และสร้างเขตกันชนเพื่อรับประกันว่า จะไม่มีการสู้รบกันอีก ระหว่างทหารไทยและกัมพูชา
อ้างว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังคงย่ำแย่ และไม่มีฝ่ายใดฟังคำห้ามของฝ่ายอีกต่อไป

และเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ เรียกประชุมฉุกเฉิน โดยกล่าวหาว่าไทยได้กระทำการรุกรานซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาเสียชีวิต
ที่สำคัญอ้างว่าปีกของปราสาทเขาพระวิหารพังถล่มบางส่วน จากการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา

ซึ่งนายบัน คี-มุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แสดงความวิตกกังวลอย่างมากต่อเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาบริเวณชายแดน พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงเพื่อยุติความขัดแย้ง

โฆษกของนายบันเปิดเผยแถลงการณ์ โดยระบุว่า ท่านเลขาธิการฯ วิตกกังวลอย่างมากหลังได้รับรายงานการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน ประชาชนต้องอพยพออกจากพื้นที่ และบ้านเรือนได้รับความเสียหาย
“ท่านเลขาฯ ขอให้ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงเพื่อยุติความขัดแย้ง และใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด” แถลงการณ์ระบุ

ซึ่งนายบัน ยังเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าหาวิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืน ผ่านกลไกและการจัดการซึ่งเป็นที่ยอมรับ การเจรจา รวมถึงความสัมพันธ์อันดีในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน โดยย้ำว่า

“สหประชาชาติยังคงพร้อมสนับสนุนความพยายามในการสร้างสันติภาพครั้งนี้”
ในขณะที่ทางไทยนั้น นายอภิสิทธิ์ ยังคงปล่อยให้เรื่องนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกระทรวงการต่างประเทศ แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการ อย่างรุนแรงสักปานใดก็ตาม

เพราะดูเหมือนว่านายอภิสิทธิ์ จะให้น้ำหนักความสนใจกับปัญหาในเรื่องของม็อบพันธมิตรมากกว่า
ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า นายอภิสิทธิ์ เริ่มโล่งใจแวที่สหประชาชาติออกมาแสดงท่าทีว่าต้องการให้ยุติความขัดแย้งและสร้างสันติภาพ

กับอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า กองทัพไทย ทหารไทย อาจจะมีการเสียเปรียบทางกองทัพกัมพูชา และทหารกัมพูชา เนื่องจากเขมรมีสงครามในประเทศที่ยาวนาน จึงน่าจะมีความชำนาญในเรื่องการรบมากกว่าทหารไทย

แต่หากจับกระแสก็จะเห็นว่า มีการพูดถึงการสูญเสีย ที่ออกมาในทำนองว่าทางกัมพูชาสูญเสียมากว่าไทย โดยเฉพาะในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิต ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีรายงานตัวเลขของผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตที่แน่ชัดอย่างเป็นทางการ
แต่อย่างน้อยรัฐบาลกัมพูชาก็ไม่ได้มีการปฏิเสธตัวเลขที่ว่ามีชาวกัมพูชาเสียชีวิต 3 คน ในจำนวนนี้เป็นทหาร 2 นาย

และประเด็นที่น่าจับตาก็คือ มีการพูดกันถึงความสูญเสียของฝั่งกัมพูชา โดยมีตัวเลขสูญเสียค่อนข้างสูง มีกระแสข่าวลือที่ว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 64 ศพ
ซึ่งแน่นอนว่าหากเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ก็แสดงว่ากองกำลังทหารของไทย ยังมีขีดความสามารถทีเหนือกว่ากัมพูชาอยู่เป็นอย่างมาก

และไม่แปลกหากพบว่า มีการเสียหายในระดับตาย 64 ศพ จริงๆ ทางกัมพูชาก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องให้ทางสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบ ไล่เรียงว่าไทยกระทำผิดตามที่กัมพูชากล่าวหาจริงหรือไม่
ซึ่งในแง่ของข้อมูลกระแสข่าวดังกล่าว จะต้องมาถึงผู้นำไทยแล้วเช่นกัน เพราะอย่างน้อยที่สุด นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลไทย ยอมรับว่าการตอบโต้ของไทยเป็นลักษณะจำกัดคือตอบโต้ทางทหารเท่านั้น เบื้องต้นรัฐบาลได้รับรายงานว่า ฝั่งกัมพูชามีตัวเลขสูญเสียค่อนข้างสูง

ส่วนข่าวลือที่ว่าทหารกัมพูชาเสียชีวิต 64 ศพ อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกสักพัก
จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ที่รู้งานนี้นายอภิสิทธิ์ ฉวยจังหวะในทันที โดยระบุว่า การขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกควรชะลอไว้ก่อน
การมองข้ามชอต ไม่สนใจเรื่องการปะทะกัน เรื่องความสูญเสีย และแม้แต่กระทั่งเรื่องข่าวลือทหารกัมพูชาตาย 64 คน แต่กลับไปบอกว่าควรหยุดการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกไว้ก่อน ต้องถือว่านายอภิสิทธิ์ ในวันนี้เหี้ยมเกรียมไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เพราะยิ่งมีการรับลูกกันโดยนายสุทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ที่ออกมาพูดความพยายามที่จะเรียกร้องให้อาเซียนเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา ว่า ส่วนตัวคิดว่ายังอยู่ในวิสัยที่ 2 ประเทศสามารถพูดคุยกันได้เอง
ส่วนเรื่องที่ทางกัมพูชารีบไปร้องต่อยูเอ็น แต่ไทยยังบอกว่าต้องประชุมกันก่อน ว่าจะร้องไปยูเอ็นหรือไม่ ทำให้ดูเหมือนว่าตามหลังอยู่ตลอดนั้น รองนายกฯ กล่าวว่า มันไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตรที่จะต้องแข่งกันเป็นวินาที ก็มีเวลาที่จะทำงานได้ ยืนยันว่าเราไม่เสียเปรียบหรอก

“เชื่อผมเถอะ เราไม่ได้ขาดทุน ไม่ได้เสียเปรียบอะไร เราก็ดูแลปกป้องอธิปไตยของประเทศ ดูแลศักดิ์ศรีของประเทศไทยให้ดีที่สุด ทุกฝ่ายก็ทำหน้าที่ตัวเอง ปัญหาคือหากพวกเรากดดันกันมาก ๆ คนที่ทำหน้าที่เขาก็จะรน และระส่ำระสาย ดังนั้นผมยืนยันอีกครั้งว่าตั้งแต่เกิดเหตุมา ประเทศไม่เสียเปรียบเลย และในการปฏิบัติการรบประเทศไทยก็ไม่เสียเปรียบเลย แต่เราจะไปพูดให้มันมีผลทำให้เหตุการณ์บานปลายขึ้นมาไม่ได้ รัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดความเสียหาย หรือเกิดการปะทะขึ้น รัฐบาลถึงพยายามเรียกร้องว่าให้ใจเย็นกันหน่อย ค่อย ๆ พูดจากัน”นายสุเทพ กล่าว

สะท้อนชัดเจนแล้วว่า งานนี้เมื่อกำลังทหารไทยยังมีความเข้มแข็ง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ถือว่าเป็นแต้มต่อที่จะไม่ยี่หระกับเรื่องปะทะกันครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าไม่ว่าอย่งไรเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็ไม่มีทางกระเด็น เพราะปัญหาไทย-กัมพูชาแน่

แต่นายอภิสิทธิ์ กลับให้ความสำคัญกับปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาม็อบพันธมิตร ที่ออกมากดดันเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะหมดความชอบธรรมแล้ว
ตรงนี้ต่างหากที่นายอภิสิทธิ์รู้ดีว่า หากรับมือพลาดมีหวังเด้งออกจากเก้าอี้ แถมยังดับฝันในการที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 2 ด้วย

เพราะจะเห็นว่าไม่เพียงม็อบพันธมิตรจะขู่ว่าหมดเวลาเจรจาแล้ว แต่แกนนำอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเคยเชื่อกันว่า การชุมนุมครั้งนี้ทำเพื่อสร้างเงื่อนไขให้เกิดการปฏิวัติ

แต่ปรากฏว่าล่าสุดบนเวทีม็อบพันธมิตร ในช่วงการประกาศยกระดับการชุมนุมไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์นั้น นายสนธิ ได้ออกมาโจมตีพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อย่างหนัก ลามไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วย
จากที่เคยเชียร์ๆ พล.อ.ประยุทธ์ กลายมาเป็นอัดใส่เต็มๆ ทำให้น้ำหนักในเรื่องการต้องการให้ พล.อ.ประยุทธทำปฏิวัติรัฐประหาร หายไปในทันที

เกมนี้ส่อแววแตกหัก และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทำท่าว่าจะไม่ได้สบายๆเหมือนกับกรณีกัมพูชาแน่
เพราะแม้ว่า จำนวนคนที่มาชุมนุมของม็อบพันธมิตร อาจจะไม่สูงมาก กลางวัน 500 กลางคืนไม่เกิน 2,000 คน

แต่พอเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ผู้ชุมนุมกลับเพิ่มปริมาณขึ้นกว่าเท่าตัว แม้จะยังไม่ถึงหลักหมื่น แต่ก็ช่วยให้แกนนำพันธมิตรฯเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ถึงขนาดเตรียมงัดกลยุทธดาวกระจายกลับมาใช้อีก ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์

ทั้งๆ ที่หากจะทำให้แผนดาวกระจายได้ผล จะต้องใช้คนชุมนุมเป็นเรือนหมื่น แต่กระนั้นก็ยังสร้างความตื่นตระหนก และสร้างความหนักใจให้กับนายอภิสิทธิ์อย่างเห็นได้ชัด
ถึงขนาดที่ชงเรื่องให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. เสนอขอให้มีการใช้ พ.ร.บ.รักษาความั่นคง ขอคืนพื้นที่จากม็อบ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นเจรจาไม่เคยสำเร็จมาโดยตลอด

แน่นอนว่างานนี้หากมองว่า พล.ต.อ.วิเชียร เปลืองตัว ก็ไม่ผิด แต่ที่ต้องมองลึกลงไปก็คือ ทำไมรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ จึงได้เกรงอกเกรงใจม็อบพันธมิตรมากเป็นพิเศษขนาดนี้???
ทั้งๆที่หากมองดูแล้ว จะเห็นว่าแม้แต่ประชาชน แม้แต่สื่อยังให้ความสำคัญหรือให้ความสนใจกับม็อบพันธมิตร น้อยกว่าปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาเสียอีก

แต่เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ กลับระวังจนตัวลีบ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีการกุมไต๋อะไรกันไว้ลึกแค่ไหน หรือว่าอ่านสัญญาณพิเศษอะไรได้!!!
เพราะต้องไม่ลืมว่า หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การที่จะเอานายกรัฐมนตรีลงจากเก้าอี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้การปฏิวัติรัฐประหารก็ได้
แค่เรื่องจัดรายการโทรทัศน์ทำอหารชิมอาหาร ก็เด้งจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้เห็นๆมาแล้ว

ซึ่งนายอภิสิทธิ์นั้น ในเวลานี้มีหลายประเด็นที่จริงๆแล้วไม่สามารถที่จะเคลียร์ได้ เพียงแต่ได้รับการ “อุ้ม”จากขั้วอำนาจพิเศษ ทำให้ไม่ถูกยุบพรรค ทำให้หลายๆเรื่องกลายเป็นเรื่องตีขลุมทางกฎหมายเอาดื้อๆ
แต่หากลมเปลี่ยนทิศขึ้นมา นายอภิสิทธิ์ อาจจะถูกม็อบพันธมิตรตะเพิดลงจากเก้าอี้ได้สำเร็จก็ได้
ฉะนั้นไม่แปลกที่นายอภิสิทธิ์ จะกังวลกับม็อบพันธมิตรมากกว่าเหตุปะทะกับกัมพูชา

ยิ่งทีมงานรอบข้างนายอภิสิทธิ์ ยิ่งกังวลหนัก เพราะมองว่านายอภิสิทธิ์กำลังดวงตก มีพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกไม่ได้หยุดหย่อน
ล่าสุดหมาดๆเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็เลยมีรายการเอาหมอฮวงจุ้ยไปแก้เคล็ดที่ทำเนียบอีกรอบ!!!

โดยคณะทำงานของ นายอภิสิทธิ์ ได้นำซินแสมาทำการปรับฮวงจุ้ย ที่บริเวณประตู 7 ซึ่งเป็นประตูที่ ครม.ใช้เป็นเส้นทางผ่านเข้า-ออกเวลามีการประชุม ครม.ทุกวันอังคาร โดยนำกระถางต้นไม้ที่ปลูกต้นมะขาม สูงประมาณ 1 เมตร มาตั้งวางไว้ด้านหลังตู้ไฟฟ้าสำรอง จำนวน 7 ต้น
และห่างออกไปประมาณ 7 เมตร ก็มีต้นจันทร์กระจ่างฟ้า ใส่กระถาง มาตั้งไว้อีก 7 ต้น

ตำราไม้มงคล ระบุว่า ต้นมะขาม หากปลูกไว้ทางทิศตะวันตก (ประจิม) ของบ้าน จะช่วยป้องกันสิ่งไม่ดี ผีร้าย มิให้มากล้ำกลาย ที่สำคัญใครปลูกแล้วจะได้รับการเกรงขาม ...
ปัญหาก็คือ นายอภิสิทธิ์ จะสามารถสร้างความเกรงขามให้กับนายสนธิ พล.ต.จำลอง และกลุ่มม็อบพันธมิตร ได้หรือไม่???

ส่วนต้นจันทร์กระจ่างฟ้า ถือเป็นดอกไม้ที่ทั้งรูปงาม นามเพราะ เชื่อกันว่าบ้านใดปลูกไว้ จะทำให้ผู้อาศัยมีวาสนาสูงส่ง ครอบครัวร่มเย็นดุจอยู่ใต้ดวงจันทรา โดยเชื่อว่าควรปลูกให้หันหน้าไปทางทิศบูรพา
งานนี้ถึงขนาดต้องพึ่งพาไสยศาสตร์กันอีกรอบ ซึ่งก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าจะช่วยนายอภิสิทธิ์ให้รอดปลอดโปร่งได้จริงหรือไม่

หรือว่า สุดท้ายแล้ว “ยุบสภา”จะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุด
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ก็เคยเปรยๆแล้วว่า หลังแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ผ่านเรียบร้อย
การยุบสภาก็เป็นไปได้ไม่ยาก