ที่มา vattavan
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อออกรับราชการทางภาคอีสาน กว่า 40 ปี ก่อนนั้น ผมได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนอีสานด้วยความสนใจ อาจเป็นเพราะต้นตระกูลฝ่ายบิดาของตัวเอง เป็นคน ‘ไทยโคราช’ โดยคุณปู่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ บ้านน้ำเมา (ชื่อดี๊ดี) ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จึงมีคนนามสกุลเดียวกัน อยู่ที่อำเภอนี้มีจำนวนพอสมควร
ถ้าไปตามถนนมิตรภาพมุ่งหน้าไปโคราช ทางเข้าบ้านน้ำเมาจะอยู่ซ้ายมือ และเลยจากทางเข้าบ้านน้ำเมาไปหน่อย ระหว่างกิโลเมตรที่ 206-207 ทางด้านขวามือของถนนมิตรภาพ จะมีป้ายบอกจุดท่องเที่ยวว่า
“แหล่งหินตัด”
แหล่งหินดังกล่าว เป็นเนินเขาที่เต็มไปด้วยหินทราย ที่ยังปรากฏร่องรอยของการสกัดหิน เป็นร่องลึกรูปสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ อยู่หลายแนว คล้ายกับก้อนขนมเค้ก และยังคงทิ้งร่องรอยของคมสิ่ว ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสกัดเอาไว้ชัดเจน
สันนิษฐานกันว่า พวกขอมคงจะนำหินทรายจากบริเวณนี้ ไปสร้างปราสาทหินหลายแห่ง ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เมื่อขอมมีอิทธิพลในสุวรรณภูมินั้น ราวพุทธศตวรรษที่ 17 ศูนย์กลางแห่งอำนาจอยู่ที่เมือง ‘พิมาย’ และอิทธิพลขอมได้แผ่ข้ามทิวเขาพนมดงรัก ไปครอบคลุมถึงเมืองปราจีนบุรีด้วย
ด้วยความสงสัย ผมเคยถามท่านอาจารย์ จุลทรรศน์ พยาฆรานนท์ ราชบัณฑิตว่า
“ขอมขนหินพวกนี้ ไปได้อย่างไรกันครับ?”
ได้รับคำตอบว่า
หินทรายที่ถูกตัด จะมีรูพรุนตามธรรมชาติอยู่ การขนหินในยุคนั้น คนโบราณจะตัดไม้ไผ่ เป็นท่อนยาวๆ แล้วใช้ไม้ไผ่แยงไปตรงรูร่องของหิน แล้วแรงคนช่วยกันดันหินแต่ละก้อน ให้เคลื่อนที่ไปยังจุดหมายที่ต้องการ
แต่... วันหนึ่งๆ จะไปได้ไกลแค่ไหนกันนะ?
ผมเองยังไม่เคยลอง จึงไม่ทราบ แต่คิดว่า กว่าพวกเขาจะขนหินนับหมื่นนับแสนก้อน ไปสร้างเป็นองค์ปราสาทใหญ่โตได้ และเป็นการก่อสร้างศาสนสถาน ตามคติความเชื่อเรื่องการสถาปนาพระราชอำนาจ ของกษัตริย์ขอม ผ่าน‘ลัทธิเทวะราช’ นั้น
คงต้องใช้คนจำนวนมากมาย และทุนทรัพย์มหาศาล จึงจะสร้างปราสาทหินหลังหนึ่งๆ สำเร็จลงได้ อีกทั้งคงต้องใช้เวลานานนับสิบๆปีเดียว
ดังนั้น ความทุกข์ยากของแรงงานที่ถูกเกณฑ์มา คงจะแสนสาหัสทีเดียว ผู้คนคงจะต้องล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เพราะงานคงหนัก อีกทั้งไข้ป่าแถบนั้น ก็ชุกชุมเหลือกำลัง หยูกยาก็ไม่มี และการรักษาพยาบาลก็จำกัด คงเป็นเหตุให้จำนวนผู้เสียชีวิตระหว่างการก่อสร้าง อาจเป็นเรือนหมื่นเป็นแสน ก็คงจะเป็นไปได้
คำถามต่อไป มีอยู่ว่า
แล้วผู้คนที่เป็นแรงงาน มาจากไหนกันล่ะ?
ตรงนี้พอตอบได้ว่า ส่วนที่ควบคุมการก่อสร้าง คงจะเป็นขอม แต่แรงงานน่าจะเป็นคนท้องถิ่น ซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของคนอีสานในปัจจุบันนี่แหละ
ข้อสงสัยอีกประการหนึ่ง คือ
‘ขอม’ กับ ‘เขมร’ เป็นชนชาติเดียวกันหรือไม่?
นี่เป็นคำถามโลกแตก ถกเถียงกันได้อย่างไม่มีข้อยุติ แต่เอาเป็นว่า เมื่อขอมกลายเป็นเขมร ก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของไทยมาช้านาน และพ้นจากการปกครองของไทย ก็ตกเป็นขี้ข้าฝรั่งเศสอยู่อีกหลายทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม พอสรุปได้ว่า
การก่อสร้างปราสาทใหญ่โต ใช้ทุนทรัพย์และชีวิตคนจำนวนมหาศาล ในที่สุดผู้คนทนความทุกข์ยากไม่ไหว ก็กระด้างกระเดื่อง หรือหลบหนีไปจากแผ่นดินที่มีการกดขี่
อาณาจักรขอมรุ่งเรืองใหญ่โตเพราะ ‘หิน’ แต่สุดท้าย จักรวรรดิของพวกเขา ก็ล่มสลายลงเพราะ ‘หิน’ เช่นเดียวกัน!
ถึงกระนั้น สิ่งก่อสร้างที่เป็นทำด้วยหินในรูปปราสาท ยังทรงความสำคัญอยู่ในความรู้สึก หรือจะเรียกให้ทันสมัยก็คือ ยังอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คนในแผ่นดินกัมพูชา ซึ่งคนเขมรเชื่อกันว่าขอมที่รังสรรค์ปราสาทหิน ให้เป็นอลังการงานสร้างนั้น เป็นบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราจึงได้เห็นรูปปราสาทหินสีขาวอย่าง ‘นครวัด’ ปรากฏอยู่กลางธงชาติกัมพูชา
ความสำคัญสำหรับปราสาทหิน สำหรับชาวเขมรนั้น มีมากจริงๆ เพราะปราสาทหินนั้น เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ แสดงความเป็น ‘ชาติ’ ของพวกเขา และนี่คงจะเป็นเหตุผล ทำให้เราชาวไทยคิดได้ว่า
ทำไมเขมรจึงดิ้นรนสุดขีด เพื่อจะครอบครองปราสาทหินอย่าง ‘เขาพระหาร’ เอาไว้ให้ได้!?
คนไทยในปัจจุบันหรือแม้ในอดีต ก็ไม่มีความรู้สึกซาบซึ้งหรือผูกพันกับปราสาทหิน อย่างที่คนเขมร แต่ถึงกระนั้น ปราสาทหินที่เขาพระวิหาร ยังดันกลายเป็นปัญหาของบ้านเราจนได้
คนอีสานนั้น ถูกอิทธิพลจากขอมครอบงำหลายศตวรรษ จนขอมเสื่อมอำนาจ แผ่นดินอีสานก็ตกอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์ในยุคอยุธยา และรัตนโกสินทร์ มาจนถึงปัจจุบัน
หลังกึ่งพุทธกาลไม่นาน ตอนผู้เขียนออกรับราชการทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เห็นผู้หญิงอีสานนุ่งผ้าถุงสองชั้นให้นึกแปลกใจ โดยเฉพาะยิ่งผู้หญิงภาคนี้ ที่เข้าไปรับจ้างทำงานตามบ้านที่กรุงเทพ (สมัยนั้นคนอีสานยังเรียกการไปกรุงเทพ ว่า “ไปไทย”) ซึ่งมีอยู่มากหลังกึ่งพุทธกาล
พวกเธอนุ่งผ้าถุง 2 ชั้น หรือ 2 ผืน!
ยังนึกสงสัยอยู่ว่า ทำไมพวกเธอต้องนุ่งอย่างนั้น แต่เมื่อสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ดูแล้ว ก็ได้ความว่า
การที่ถูกครอบงำโดยอิทธิพลต่างถิ่น บางครั้งก็ต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นแรงงานของชนชาติที่มีอำนาจ เลยทำให้คนอีสานต้องเตรียมพร้อมเสมอ สำหรับ...
‘การอพยพ’
ผู้หญิงต้องนุ่งผ้าถุง 2 ชั้น เพื่อจะมีไว้ผลัดยามต้องเดินทางรอนแรมยามหนีศัตรู หรือเมื่อถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย และคงติดจนกลายเป็นความเคยชิน ที่ฝังลึกจิตใจของชาวอีสานสืบต่อกันมาเพราะการที่จะต้องอพยพ ย้ายถิ่นที่อยู่บ่อยครั้งนั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเกิดการรบพุ่งระหว่างไทยกับเขมรครั้งล่าสุด ที่อุบัติขึ้นเมื่อเดือน ก.พ.2554 ไม่กี่วันมานี้ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี พี่น้องผู้หญิงชาวอีสานที่ต้องออกจากบ้าน ไปยังที่พักพิงใน ‘ศูนย์อพยพ’ ชั่วคราว ที่ทางการจัดให้ มีจำนวนมากที่นุ่งผ้าถุงสองชั้น เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษเคยทำมาก่อน ยามเมื่อต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หรือต้องหนีภัยสงคราม
ใครเลยจะนึกว่า วันหนึ่งเราต้องเห็นพี่น้องชาวอีสาน จำนวนนับเป็นหมื่นๆ ต้องออกอพยพออกจากบ้านเรือนตนเอง ไปหาที่ปลอดภัย
เพราะภัยสงคราม!
ที่ไปไม่ทัน ก็ต้องลงหลุมหลบภัย หรือไม่ก็ต้องทำตัวเป็น ‘หนู’ ไปมุดหรือคลานลง ตามท่อที่เตรียมไว้ เพื่อเอาชีวิตรอด
น่าอนาถเหลือกำลัง!
นี่เป็นเพราะ ‘ความล้มเหลว’ ในการบริหารบ้านเมือง ของนายมาร์ค มุกควาย กับรัฐบาลกาลีโคตรคอรัปชั่นของเขา เพราะ รัฐบาลโลซกนี้ ได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยเรากับประเทศกัมพูชา
จนย่อยยับ!
นายมาร์ค มุกควาย ได้ทำให้ประเทศไทยเรา ซึ่งในยุคของนายกทักษิณฯนั้น ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า คุณเตช บุนนาค ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
ไทยเราเคยมีเกียรติภูมิ เป็นผู้นำในเวทีอาเซียน แต่บัดนี้เมืองไทยเรากลาย เป็นที่เกลียดชังของประเทศเพื่อนบ้านรอบตัว
จนต้องมี ‘ภาวะสงคราม’ ในที่สุด!
การสงครามครั้งนี้ แม้ฝ่ายไทยโดยรัฐบาลโลซก พยายามเหลือเกินที่จะไม่เรียกว่าเป็น ‘สงคราม’ โดยพยายามเฉไฉไปใช้คำอื่น เช่น คำว่า “การปะทะกันตามแนวชายแดน” แต่ประเทศคู่ศึกคือกัมพูชา เขาเรียกการสู้รบระหว่างสองประเทศ เต็มปากเต็มคำว่า “สงคราม” และเรียกทหารที่ถูกจับได้ว่า
“เชลยศึก”
จะไม่เป็นสงครามได้อย่างไร เมื่อฝ่ายเขมรเขาบอกว่าเป็นสงครามที่แท้จริง อีกทั้งเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ก็เซ็นเอกสารรับตัวทหารเชลย ซึ่งทำขึ้นตามกฎกาชาดสากล อันว่าด้วย ‘การมอบ-รับเชลยศึก’ ต่อหน้าคณะทูตทหารประจำกรุงพนมเปญหลายประเทศ
การสงครามกับเขมรครั้งนี้ นายมาร์ค มุกควาย คงไม่รู้สึกถึงความเดือดร้อนราษฎร (อาจเพลินกับการเล่นเฟซบุคมากกว่า) แต่ปรากฏว่า
ราษฎรต้องบาดเจ็บล้มตาย บ้านเรือนของประชาชนโรงเรียนฯลฯ พังพินาศ เกิดเพลิงลุกไหม้ ฉิบหายสิ้นชุมชนชาวไทยได้รับความเสียหายหนัก
พี่น้องประชาชน ผู้คนในพื้นที่...ต้องน้ำตานองหน้า!
เพื่อนร่วมชาติของผู้เคราะห์ร้าย ที่อยู่ในจังหวัดอื่น เห็นภาพแล้วใจหาย ให้สงสารและเห็นพวกพ้องน้องพี่ ที่ร่วมแผ่นดินร่วมชาติไทยด้วยกันเป็นกำลัง
นี่เป็นผลต่อเนื่องมา ตั้งแต่พรรคประชาธิปรตมัน ‘สิ้นคิด’ ดันไปเอา นายกษิต ภิรมย์ คนมีปัญหา มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่สนใจใยดีว่า
นายกษิตฯคนนี้ สังกัดฝ่ายพันธมาร แถมยังมีส่วนยึดสนามบินนานาชาติ ซึ่งคดีความก็ยังคาราคาซังกันอยู่
นั่นยังไม่สำคัญเท่า นายกษิตฯ ขึ้นเวทีด่าสมเด็จฮุนเซ็นนายกกัมพูชาว่าเป็น...
…“กุ๊ย”
การแต่งตั้งนายกษิตฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น ได้แสดงถึงความอ่อนด้อยทางการต่างประเทศของนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งดันเสือกไปเลือกเอาบุคคล ที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ชัดเจนกับ ‘สมเด็จฮุนเซน’ นายกรัฐมนตรีเพื่อนบ้าน ที่มีแนวชายแดนติดต่อกันยาวนับพันกิโลเมตร มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ต้องขอตอกย้ำอีกทีว่า นายมาร์ค มุกควาย นั้น...สิ้นคิด!
โง่เสียจนกระทั่ง มองเหตุการณ์ภายหน้าไม่ออกว่า...
ถ้าตั้งไอ้ตัวนี้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ บ้านเมืองจะต้องเดือดร้อน...
...โง่ฉิบหายเลยจริงๆ!!
แล้วก็เป็นไปตามคาด พออีตากษิต ภิรมย์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง ความสุขสงบระหว่างสองประเทศ ที่เคยดีมาในยุคนายกฯทักษิณ กลับ ‘ร้อนฉ่า’ ขึ้นมาทันที จนผมต้องเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไว้ด้วยบทความ ที่ค่อนข้างรุนแรงหนักหน่วง เอาไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นปี ถึง 3 บทความด้วยกันคือ
1.บทความชื่อ “ฝีคัณฑสูตร” ในรูทวาร ของประชาธิปัตย์!!!
21 มี.ค.2552 http://vattavan.com/detail.php?cont_id=137
ผมได้บรรยายว่า
ประชาธิเปรตจำต้องตั้งนายกษิตฯ คนของฝ่ายพันธมารเข้ามาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เพราะร่วมหัวจมท้ายกันในการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
นายคนนี้จึงเหมือน ‘ฝีในรูตูด’ ของพรรคดักดาน ที่จะต้องทำให้พรรคประชาธิเปรตเจ็บแสบต่อไป
2. บทความชื่อ เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้...ไม่
ยากเลย!!! http://vattavan.com/detail.php?cont_id=157
ซึ่งผมเขียนไว้ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2552 อยากให้ท่านผู้อ่านได้ดูสักนิด โดยผมได้บรรยายตอนจบ เอาไว้อย่างครับ...
...อ่านข่าวแล้ว ก็ปลงสังเวช ที่ได้เห็นว่ารัฐบาลโลซกของคนหนีทหารอย่างนายอภิแสบ ต้องโดนชาติที่เล็กกว่า แต่มีผู้นำที่เข้มแข็งแถมเป็นทหารเก่าชำนาญการศึกโชนโชก
ไล่โขก ไล่สับ...เอาตามใจชอบ!
แม้เกียรติภูมิของชาติเสียหาย รัฐบาลโลซกก็ยังมีหน้าออกมาสะตะบอแหลชาวบ้านเขาไปวันๆ ยิ่งไปกว่านั้นสื่อต่างๆ ในกัมพูชาพากันตีพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับข้อเสนอของไทย ถูกคณะกรรมการมรดกโลกปัดปฏิเสธ ไม่นำขึ้นพิจารณาในการประชุมประจำปี
สื่อยักษ์ใหญ่ขะแมร์ คือหนังสือพิมพ์ดืมอัมปึล (Deum Ampil) รายงานว่า
คณะกรรมการมรดกโลกได้ปิดการประชุมที่เมืองเซวิลล์ (Seville) ประเทศสเปน ในวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีการนำข้อเสนอของไทยที่ ขอให้ทบทวนการพิจารณาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ดืมอัมปึลถึงกับพาดหัว ด้วยความเริงร่าว่า
"ประเทศไทยปราชัยอย่าง ‘น่าอดสูที่สุด’ ในการเรียกร้องให้ทบทวนการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลก.."
นี่ไง...หน้าแหกกันเป็นริ้วๆไปเลย!
ดังนั้น ในทัศนะของ “วาทตะวัน” แล้ว การที่ตั้งนายฝีคัณฑสูตร “กษิต” มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ อันเป็นผลพวงจากการตั้งรัฐบาลผสม ที่โง่เขลาเบาปัญญาของนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งกระทำไปยำเกรงขบวนการพันธมาร จนต้องเอานายคนนี้มาเป็นรัฐมนตรีพัวพันต่างประเทศ
จึงไม่น่าแปลก ที่ชาวบ้านเขาไม่ชอบขี้หน้ารัฐมนตรีต่างประเทศนายนี้ สำหรับข้าราชการในกระทรวง ก็ได้ข่าวว่าแอนตี้เจ้ากระทรวงกันมาก
เลยพาลชิงชัง รัฐบาลปัจจุบันเข้าไปด้วย!
ต้องขอบอกกันไว้ชัดๆ ตรงนี้เลยว่า
มาถึงวันนี้แล้ว ช่างเป็น “เคราะห์กรรม...ของประเทศไทย” จริงๆ ที่ได้ผู้นำคุณภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดิน และถ้าหากเมืองไทยยังมีนายมาร์ค มุกควาย เป็นหัวหน้ารัฐบาลโลซก และนายฝีคัณฑสูตร “กษิต”เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอีกต่อไป...
เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้...ไม่ยากเลย!!!
ที่ผมขึ้นชื่อคอลัมน์ ว่า เหตุฉิบหายจะเกิดขึ้นกับเมืองไทยได้
...ไม่ยากเลย!!! ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2552 เพราะตัวเองมั่นใจว่า ถ้าไอ้ตัวนี้มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เหตุฉิบหายต้องเกิดแน่ๆ
แล้วก็เป็นไป...ตามคาด!
มาถึงวันนี้ ท่านทั้งหลายอาจได้เห็นภาพที่พี่น้องประชาชน ต้องมุดลงไปในท่อ เพื่อหลบลูกกระสุนปืนใหญ่จากฝ่ายเขมร
มีผู้คนต้องสังเวยชีวิต และบาดเจ็บ!
ที่น่าสังเวชและเขย่าหัวใจผมเหลือเกิน คือภาพที่จะได้เห็นจาก น.ส.พ.ไทยโพสต์ ต่อไปนี้
นี่คือหญิงชรา ที่ป่วยเจ็บ แต่ต้องถูกเจ้าหน้าที่ช่วยกันแบกอพยพ หลบหนีความตายจากภัยสงคราม อย่างทุลักทุเล
ท่านผู้อ่านลองพิจารณา ดูสีหน้าของคุณยายท่านสิครับ ช่างเปล่งความรู้สึกทุกข์ระทม ชัดเจนออกมาทางใบหน้า อย่างไม่จำเป็นต้องอธิบายกันซ้ำซ้ำ
ภาพคุณยายนี้ สร้างความสะเทือนใจ ให้ผมสุดๆ!
หลังจากที่ผมเขียน 2 คอลัมน์ ดังที่เล่าไปแล้วข้างต้น แต่ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะผมยังกระทุ้งติดตามต่อมาทันที ด้วยบทความที่ 3 ชื่อ “รัฐมนตรีผู้ร้าย กับนายกฯโลซก!?” เมื่อ 10 กรกฎาคม 2552 http://vattavan.com/detail.php?cont_id=159
ผมอธิบายความว่า เจ้ากษิต ภิรมย์ นั่นแหละ ที่เป็นไอ้รัฐมนตรีผู้ร้าย ส่วนเจ้านายกฯโลซก ไม่ใช่ใครที่หนวยเลย คือ
นายมาร์ค มุกควาย นั่นเอง!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ
บ้านเมืองไทยของเรานั้น ทำไมถึงได้ ‘ซวยสุดขีด’ อย่างนี้
ก็ไม่รู้ ที่ดันไปได้ไอ้เปรตสองตัว คือนายมาร์ค มุกควาย และ
นายฝีคัณฑสูตร กษิต ภิรมย์ มากุมชะตาชีวิตของคนไทย อย่างเราๆท่านๆ
ผมคุยกับเพื่อนนักเรียน ‘เตรียมทหาร’ รุ่นเดียวกัน ซึ่งเป็นนายทหารนักรบขนานแท้ เคยดำรงตำแหน่งสูงในกองทัพมาก่อน ถึงเหตุการณ์ครั้งนี้แล้ว
รู้สึกใจหาย เมื่อเขาพึมพำออกมาดังๆ ให้ได้ยินว่า
“คงเป็นคราวเคราะห์ของบ้านเมือง เพราะเราปล่อยให้ ‘ไอ้คนหนีทหาร’ มันลากชาติไทยเรา เข้าสู่...สงคราม!!!”
......................
ท้ายบท เพื่อความสมบูรณ์ กรุณาอ่านบทความ “คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=242
จะได้เข้าใจชัดเจน ยิ่งขึ้นด้วย
อนึ่ง ก่อนส่งบทความนี้ เจ้าฝีคัณฑสูตรในรูตูดประชาธิเปรต ยังปากดีไปกล่าวหาชาติใหญ่ อย่าง รัสเซีย,ฝรั่งเศส และอินเดียเข้าอีก น่าจะให้ฉายาเพิ่มอีกว่าเป็น...
“รัฐมนตรีกระทรวง ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน”
(คอลัมน์ ไอ้คนหนีทหาร มันลากชาติไทยเข้าสู่…สงคราม!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554)