WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, February 7, 2011

ฮอ นัม ฮง ตัดหน้า'กษิต'

ที่มา บางกอกทูเดย์



ชิงฟ้อง UN เหมือนเด็กๆ
พี่ไทยไม่ทันเกมเขมร?
ดูเหมือนว่าภายใต้กลไกการบริหารประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีปัญหาไปหมดแทบทุกเรื่อง

ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศกัมพูชา

ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ดูเหมือนจะก้าวช้ากว่าทางกัมพูชาหนึ่งก้าวเสมอ

ล่าสุดทั้งๆที่มีการเจรจาหยุดยิงกันแล้ว ทั้งๆที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ออกมายืนยันว่าไม่มีอะไรแล้ว พร้อมกับเหน็บให้บรรดาม็อบพันธมิตรที่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะรบ ให้ไปที่ชายแดนได้เลย

แต่แล้วสุดท้ายการเจรจาหยุดยิงก็เป็นไปได้แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะปรากฏว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เวลา 18.30 น. ได้เกิดเหตุปะทะขึ้นมาอีกบริเวณชายแดนในพื้นที่ ภูมะเขือ และบ้านโดนเอาว์ ต.รุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

โดยทหารกัมพูชามีการใช้จรวดยิงเข้ามาในฝั่งไทย ส่งผลให้บ้านพักของประชาชนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหาย ขณะที่ทหารไทยได้ใช้ปืนใหญ่ยิงตอบโต้ โดยการปะทะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งได้เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ในพื้นที่ชายแดน ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยทหารทั้งสองฝ่ายได้ใช้อาวุธปืนขนาดเล็กซึ่งเป็นปืนประจำกายยิงตอบโต้กันเป็นเวลากว่า 15 นาที จึงสงบลง โดยไม่พบว่ามีทหารไทยบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ทั้งนี้ พื้นที่ชายแดนบริเวณ ต.ภูผาหมอก ซึ่งอยู่ด้านทิศใต้ของปราสาทพระวิหารนั้นอยู่ตรงข้ามกับเขตซัม แต ของกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาได้นำรถถังเข้ามาประจำการ

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงการปะทะรอบที่ว่า การปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 18.40 น. เริ่มจากทางทหารกัมพูชายิงพลุส่องสว่างเข้ามาตกที่บริเวณภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ หลังจากนั้นทหารกัมพูชายิงปืนใหญ่ของรถถังเข้ามาอีก ทำให้ทหารไทยต้องใช้มาตรการตอบโต้ตามความเหมาะสม โดยยิงเครื่องยิงลูกระเบิดสวนกลับไป แต่ยังไม่ถึงขนาดต้องตอบโต้ด้วยปืนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับอาวุธที่ทางทหารกัมพูชาใช้ในครั้งนี้ เป็นจรวดหลายลำกล้อง หรือที่เรียกว่าบีเอ็ม 21 ซึ่งเป็นอาวุธที่ได้รับการช่วยเหลือทางทหารจากประเทศเวียดนาม สามารถยิงได้ไกล 12 ไมล์ ใช้ในการทำลายรถถัง และเป้าหมายที่เป็นกลุ่มก้อน

เป็นการปะทะกัน หลังจากที่ นายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ กัมพูชา ทำจดหมายด่วนถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ กรณีการปะทะกับทหารไทย วันที่ 4 และ 5 กุมภาพันธ์

โดยมีการระบุว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ระหว่างเวลา 15.00 น. ถึง 17.00 น. ทหารไทยประมาณ 300 นาย ได้เข้ามายังดินแดนกัมพูชาและโจมตีทหารกัมพูชา 3 จุด คือ ขะมุม ตั้งอยู่ห่างบันไดปราสาทพระวิหาร 500 เมตร พื้นที่คานม้า และภูมะเขือ ตั้งอยู่จากเส้นเขตแดนเข้ามาในแผ่นดินกัมพูชา 1,120 เมตร และ 1,600 เมตร ตามลำดับ

การรุกรานโดยทหารไทยนี้ ตามด้วยการยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 130 มม. และ 155 มม. ลึกเข้ามาในดินแดนกัมพูชาประมาณ 20 กิโลเมตร การโจมตีเป็นผลให้เกิดความเสียหายรุนแรงจำนวนมากต่อปราสาทพระวิหาร มรดกโลก เช่นเดียวกับการเสียชีวิตและบาดเจ็บของทหารกัมพูชาและชาวบ้านกว่าสิบราย

อีกครั้ง ในเช้าวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลา 06.30 น. กำลังทหารไทยได้ยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 มม. จำนวนหนึ่งที่ภูมะเขือ เป็นเวลาประมาณ 20 นาที

เผชิญหน้ากับการรุกรานอย่างโจ่งแจ้งนี้ ทหารกัมพูชาไม่มีทางเลือก แต่ต้องตอบโต้ป้องกันตนเองและภายใต้คำสั่งให้ปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน

ขอย้อนเตือนความจำว่าประเทศไทยได้กระทำการรุกรานต่อกัมพูชาในสามโอกาสก่อนหน้า กล่าวคือ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2008 วันที่ 15 ตุลาคม 2008 และ วันที่ 3 เมษายน 2009 ในพื้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ช่องคานม้า ภูมะเขือ และตาเส็ม ทั้งหมดนี้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร การรุกรานด้วยอาวุธเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อมนุษย์ เช่นเดียวกับความเสียหายต่อทรัพย์สิน

โดยเฉพาะต่อปราสาทพระวิหารซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2008

ซ้ำยังระบุด้วยว่าการรุกรานซ้ำต่อกัมพูชาโดยประเทศไทยได้ละเมิดเครื่องมือทางกฎหมายดังต่อไปนี้:

1.ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เมื่อ 15 มิถุนายน 1962

2.ข้อ 2.3, 2.4 และ 94.1 ของกฎบัตรสหประชาชาติ

3.สนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือ 3 (TAC) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อ 2 ซึ่งกัมพูชาและประเทศไทยเป็นภาคี มีดังนี้:

มีความเคารพต่อกันในความเป็นเอกราช อธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณภาพแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ของชาติของทุกชาติ ยุติความแตกต่างและข้อพิพาทด้วยสันติวิธี สละสิทธิที่จะคุกคามหรือใช้กำลัง

4.ข้อตกลงซึ่งคำนึงต่ออธิปไตย ความเป็นเอกราช บูรณภาพแห่งดินแดน การไม่อาจล่วงล้ำ ความเป็นกลาง ความเป็นเอกภาพของชาติของกัมพูชา ข้อ 2.2c, 2.2d ของข้อตกลงสันติภาพปารีส ในปี ค.ศ.1991

ต่อการรุกรานซ้ำที่ครึกโครมโดยประเทศไทยนี้ กระผมจะพึงใจอย่างสูงหาก ฯพณฯ จะนำเวียนหนังสือนี้ไปยังทุกชาติสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในฐานะเอกสารอย่างเป็นทางการ

ฯพณฯ โปรดรับ เป็นหลักประกันต่อความวิตกกังวลอย่างสูงสุดของกระผมและด้วยความเคารพ

ลงนาม ฮอร์ นัม ฮง

เป็นการกล่าวหาไทยกับประเทศต่างๆทั่วโลกเลยทีเดียว

ในขณะที่ของไทย นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังรับมือไม่ทันอยู่เช่นเดิม มีเพียงนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ชี้แจงเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาแล้ว

แต่ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพราะต้องรอให้หนังสือถึงเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเอสซีก่อน คาดว่าจะเผยแพร่ได้ต้นสัปดาห์

ทั้งนี้รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนจะเดินทางรับทราบข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชาก่อน และจะมาถึงไทยในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ราว 12.00 น.

และนายอภิสิทธิ์ เองก็ได้มีการแถลงเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ยืนยันว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่ยิงเข้ามาก่อน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้

และเห็นว่าการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกควรชะลอไว้ก่อน

เรียกว่าขณะนี้ต่างฝ่ายต่างโทษกันว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นยิงก่อน โดยที่มีองค์กรสหประชาชาติ เป็นผู้รับเรื่อง และจะต้องหาทางไกล่เกลี่ย งานนี้เข้าสู่แนวทางสากลระหว่างประเทศ ก็ไม่รู้ว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยที่มีนายกษิต เป็นรัฐมนตรี จะรับมือเกมนี้ได้แค่ไหน???

แต่ที่น่าจับตาก็คือ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์ ได้จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง "กองทัพ การเมือง ประชาธิปไตย" โดยมี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาคนที่ 2 และ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ เลขาธิการคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการอาวุโสจากหนังสือพิมพ์เนชั่น นายปิยบุตร แสงกนกกุล อ.นิติศาสตร์ สาขากฎหมายมหาชน ม.ธรรมศาสตร์ หรือผู้ก่อตั้งกลุ่มนิติราษฎร์ ร่วมเป็นวิทยากร

พ.อ.อภิวันท์กล่าวว่า วันนี้กองทัพกำหนดยุทธศาสตร์ผิด ทำให้การปกป้องประเทศต้องตกไปอยู่อันดับ 3 เพราะผู้นำเหล่าทัพให้ความสำคัญปกป้องสถาบันกษัตริย์อันดับแรก ตามมาด้วยดำเนินการโครงการพระราชดำริ ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลก ทำให้กองทัพเดินเป็นอย่างที่อยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น กองทัพต้องปฏิรูป ต้องเปลี่ยน ด้วยการทำให้เป็นทหารอาชีพ

ด้านนายสุภลักษณ์มองว่า ศึกสงครามที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้ ถูกมองว่าอาจจะเป็นข้ออ้างให้ทหารทำการปฏิวัติได้ โดยอาจจะอ้างว่ารัฐบาลพลเรือนอ่อนแอจนไม่สามารถบริหารประเทศต่อได้

และที่ผ่านมาสงครามถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำอะไรหลายๆ อย่าง

แต่ครั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังเกิดเหตุในทำนองด่าผู้ประท้วงมากกว่ารัฐบาล ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดปฏิวัติก็คงเป็นแค่ข่าวลือ

แต่ข่าวลือเรื่องรัฐประหารจะลือๆ ไปอีกนานจนกว่าจะจริง เพราะสังคมไทยเอาทหารออกไปจากการเมืองยาก

ทั้งนี้สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าเกิดเหตุยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาเป็นครั้งที่ 3 ใน รอบ 3 วัน แม้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะเจรจาหยุดยิงกันแล้วถึง 2 รอบ แต่ต่างยืนยันว่าจะพยายามปลดชนวนความตึงเครียดบริเวณชายแดนให้เร็วที่สุด

งานนี้ไทยเหนื่อยแน่ หากกลไกกระทรวงต่างประเทศยังลุ่มๆดอนๆ และทหารไทยยังติดปลักเรื่องปฏิวัติอยู่เช่นนี้