ที่มา มติชน ใครจะไปนึกว่าเพียงแค่ 1 วัน "กษิต ภิรมย์" จะเปลี่ยนไป วันที่เขามาปัจฉิมกถาในงานสัมมนาวิชาการอุษาคเนย์ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2554 ในหัวข้อ "สยาม-ขะแมร์ คู่รัก คู่ชัง คู่กรรม คู่เวร" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ "กษิต" พูดถึงความเสมอภาคของเพื่อนบ้าน และอยากให้มองไปข้างหน้ามากกว่ารื้อฟื้นประวัติศาสตร์ "เป็นภาระของผู้นำสองประเทศเพื่อหาจุดร่วม ต้องเคารพประเทศเพื่อนบ้าน ลัทธิการดูแคลนจะได้หมดไป" แต่ผ่านไปแค่วันเดียว เมื่อนายกษิต ไปร่วมสัมมนาหัวข้อ "ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน เหตุการณ์ปกติ ?" ที่จัดโดยกรรมาธิการการต่างประเทศวุฒิสภา ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนจาก "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ" ที่ไม่ดูแคลนประเทศเพื่อนบ้าน กลายมาเป็น "กษิต" บนเวทีพันธมิตรฯคนเดิม คนที่เคยเรียก "ฮุนเซน" ว่า "กุ๊ย" แต่ครั้งนี้เบาลงมาเพราะเรียก "ฮุน เซน" ว่า "เด็กเกเร" "แม้เขมรจะแสดงให้เห็นภาพว่าเป็นผู้ถูกกระทำ ขอความเห็นอกเห็นใจว่าผ่านการสู้รบมาตลอดเพื่อให้ได้สิทธิเสรีภาพ แต่ความเห็นใจเหล่านี้ไม่อนุญาตให้สมเด็จฯฮุน เซน เป็นเด็กเกเรกับประเทศไทย ต้องชี้แจงว่าตอนนี้มีเด็กเกเรตอแยอยู่ข้างบ้าน แต่เราก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีมิตรจิตมิตรใจกับชาวกัมพูชาที่ยากจนทุกคน" "กัมพูชา" คือ "เด็ก" ส่วน "ไทย" เป็น "ผู้ใหญ่ใจดี" และยังยกตัวอย่างเรื่องการสร้างทางรถไฟจากสระแก้วไปกรุงพนมเปญ ให้คนกัมพูชาเข้าไทยโดยไม่ต้องใช้วีซ่า "เราต้องชี้แจงกับสหประชาชาติว่าพร้อมให้เงิน ให้ความหวังดี แม้จะมีเด็กเกเรอยู่ข้างบ้าน" เป็นความใจดีที่ดูเหมือนลำเลิกบุญคุณอย่างยิ่ง เหมือนกับลืมคำพูดของตัวเองเมื่อวาน "ลัทธิการดูแคลนจะได้หมดไป" "กษิต" กลับมาเป็น "กษิต" คนเดิมอีกครั้ง ........... ลำพังแค่พูดถึง "ฮุน เซน" นั้นไม่ใช่เรื่องน่าตกใจนัก แต่ที่น่าตระหนกมากกว่า คือ การพูดถึง จีน อินเดีย และรัสเซีย "อย่างเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่กัมพูชาทำสำเร็จ โดยอาจจะมีประเทศอื่นสนับสนุน อย่างเช่น รัสเซีย อินเดีย จีน แล้วจึงฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ" ถ้าดูแค่เนื้อหา โดยไม่รู้ว่าคนที่พูดเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไหน คนส่วนใหญ่คงคิดว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ ระดับ สหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ประเทศไทย เพราะการกล่าวหา 3 ประเทศยักษ์ใหญ่ว่าอยู่เบื้องหลัง "กัมพูชา" ในการปะทะกับไทยนั้นถือเป็น "เรื่องใหญ่" ในวงการทูต กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน เป็นการเพาะศัตรูโดยไม่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดถึง "รัสเซีย" ว่าโกรธไทยเพราะไม่ยอมซื้ออาวุธ และดูถูกว่าไม่ได้เป็นประเทศมหาอำนาจเหมือนเดิม แต่เป็นแค่ประเทศขนาดกลาง นอกจากนั้นยังเปิดไพ่ชัดเจนว่าไทยมี "สหรัฐ" เป็นพันธมิตร "ผมจะทวงสัญญากับสหรัฐ ในฐานะที่เป็นพันธมิตรกันและมีสัญญาระหว่างกันมากมายเพื่อช่วยแก้ปัญหาไทยกับกัมพูชาด้วย" ยิ่งพูด ยิ่งทำให้คนนึกถึงกรณี "วิกเตอร์ บูท" เหมือนกับมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรบางอย่าง ที่ทำให้รัฐบาลไทยส่งตัว "บูท" ให้สหรัฐอเมริกา นอกจากสถานการณ์ที่เป็นรองในเวทีระหว่างประเทศแล้ว การที่ไทยมี "กษิต" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปเจรจากับกัมพูชาต่อหน้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าเขาจะคุมอารมณ์ของตนเองได้หรือเปล่า "กษิต" นั้นประกาศแล้วว่าเขาจะถามนายฮอ นัม ฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาแบบเปิดอกว่าจะรักษาอาเซียนและความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ "หรือสู้รบฟาดฟันกันตลอดแนวชายแดนก็ได้ แต่ที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอย่ามาต่อกรกับไทย เพราะหากยังเกเรมีแต่เจ็บลูกเดียว" ถามว่าคณะมนตรีความมั่นคงฯที่นั่งฟังอยู่ เขาจะรู้สึกอย่างไร ประเทศไทยเป็น "ผู้ใหญ่ใจดี" หรือเป็น "เด็กเกเร" กันแน่ นี่คือ ชะตากรรมของประเทศไทยที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง