ที่มา Thai E-News
ได้เวลาหรือยังที่จะหันมาติดตามข่าวการประท้วงในอียิปต์ ต่อการปกครองแบบเผด็จการต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่สมัยฟาโรห์ มาจนถึงเผด็จการซ่อนรูปในหน้าฉากประชาธิปไตยจอมปลอมของอียิปต์ ได้เวลาหรือยังที่จะศึกษาการออกมาประท้วงในแบบที่ไม่ต้องมีการเจรจา ปรองดองอะไร ไม่ยอมถูกหลอก ไม่ยอมให้แกนนำใดๆไปยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต่อสู้
โดย Pegasus
เสียงชาวอียิปต์ที่ตะโกนผ่านรายการ บีบีซี ว่า “เราต้องการอิสรภาพ เราต้องการเสรีภาพ เราเป็นเผด็จการมาห้าพันปีแล้ว...”
คนไทยโชคดีกว่าชาวอียิปต์มากมาย เรามีอิสรภาพ และประชาธิปไตยอย่างน้อยก็ 5 เดือน 13 วัน ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 และสิ้นสุดลงเมื่อ 10 ธันวาคม 2475
บัดนี้มีเรื่องสะเทือนขวัญเกิดขึ้นในโลกนี้ ถึงขนาดบางประเทศต้องเปิดสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนในชาติออกไปจากเรื่องน่าหวาดหวั่นนี้
นั่นก็คือการปฏิวัติของประชาชนทั่วทั้งโลก และจะเชื่อหรือไม่ว่า ได้แรงบันดาลใจบางส่วนมาจากการประท้วงของพี่น้องเสื้อแดงนี่เอง
การประท้วงนี้ระบาดอยู่ในอัฟริกาเหนือ ตั้งแต่ ตูนิเซีย เยเมน จอร์แดน ซีเรีย ลิเบีย มากบ้างน้อยบ้าง ส่วนใหญ่ผู้ประท้วงสามารถไล่รัฐบาลได้สำเร็จมาตลอด
มาจนถึงอียิปต์ ที่เป็นจุดสำคัญเพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ของโลก ที่สหรัฐและโลกอาหรับต่างเฝ้าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าระบอบของมูบารัค จะรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคไว้ได้
ส่วนมูบารัคก็คิดว่ามีสหรัฐหนุนหลังจะทำอะไรก็ได้ คล้ายๆกับในบางประเทศล้าหลังอื่นๆเช่นกัน ทั้งๆที่ ไม่มีประเทศไหนอีกแล้วที่สหรัฐจะแคร์มากเท่ากับอียิปต์
มาดูวิธีการที่สื่อต่างประเทศทั้ง ซีเอ็นเอ็น บีบีซี และ อัลจาซีร่า ทำข่าวกันตั้งแต่ตอนที่ผู้เดินขบวนยังไม่มาก มาจนถึงกว่าครึ่งเดือนแล้ว ตั้งแต่การปะทะระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจ และพวกสนับสนุนมูบารัค ซึ่งออกมากล่าวว่า พวกตนมาเรียกร้องความจงรักภักดี และ ความสงบสันติ ซึ่งมาพร้อมกับก้อนหิน ระเบิดขวดแบบโมโลตอฟฯ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ปลอมตัวเป็นพลเรือนแล้วยิงปืนใส่ผู้ประท้วงจนปัจจุบัน
กลุ่มสิทธิมนุษยชนสากลกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 297 คนและบาดเจ็บกว่า 4000 คน ในขณะที่ข่าวเป็นทางการนับได้สิบคนเท่านั้นเป็นต้น
สื่อต่างประเทศถูก นักวิชาการสายเหยี่ยวของมูบารัคบอกว่า ทำข่าวบิดเบือน ฝ่ายมูบารัคมีแต่ความสันติ ฝ่ายประท้วงเป็นคนก่อความวุ่นวาย
นักข่าวถามว่า แล้วที่ถูกจับได้ว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของทางการหลายต่อหลายคนหมายความว่าอย่างไร คำตอบคือ ต้องสืบสวนความจริงอย่าเชื่อที่ฝ่ายประท้วงสร้างขึ้นมา
ยังมีการใส่ร้ายป้ายสีต่างๆในรูปแบบเดิมของฝ่ายเผด็จการ เช่น ผู้ประท้วงเป็นฝ่ายนิยมความรุนแรง มีต่างชาติชักใยอยู่เบื้องหลัง มีอาวุธในที่ชุมนุม ฯลฯ ช่างเหมือนกับการใส่ร้ายป้ายสีของประเทศไทยต่อผู้ชุมนุมเสื้อแดงเป็นอย่างมาก
ที่น่าสนุกคือ สื่อต่างชาติมีดวงตาเห็นธรรม หรือ ตาสว่างแล้วจากการทำการแบบสมคบคิดของไทยในตอนเมษาฯ 52 และ เมษา พฤษภา 53 ถึงกลเม็ด อุบายของฝ่ายเผด็จการในวิธีการต่างๆนี้
จนทำให้ผู้เขียนสงสัยว่า มีมือสร้างสถานการณ์ไทย ไปรับจ้างมูบารัคสร้างเรื่องหรือเปล่า ทั้งเอาตำรวจมาปลอมตัวใส่เสื้อพลเรือน(เสียดายไม่ได้สีน้ำเงิน) ขว้างหิน ยิงปืนใส่ ฯลฯ เป็นการยั่วยุให้เกิดการปะทะฯลฯ วันที่มีการปิดล้อมทุกด้าน แล้วเอาพวกสนับสนุนมูบารัคเข้าโจมตีฝ่ายประท้วงถึงสองวัน ตอนที่ผู้ประท้วงมีจำนวนลดลง
น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับฝ่ายเสื้อแดงต่อไปว่า ต้องไม่ให้มีใครมาปิดล้อมได้เหมือนเดิม(6 ตุลา 19 และ ปี 52 กับ 53... เอ๊ะทำไมทำผิดซ้ำซากอยู่ก็ไม่ทราบได้) วันนั้นคิดว่า ฝ่ายประท้วงจะลดลงแล้วเหมือนของเรา แต่วันรุ่งขึ้นคนมาร่วมจำนวนมหาศาล
นี่คือความแตกต่างกับฝ่ายเสื้อแดงเรา ตอนที่เขียนบทความนี้ได้มีการผลัดเปลี่ยนกันมาชุมนุม และขยายตัวเต็มพื้นที่แล้ว น่าชมเชยและเห็นชัยชนะอยู่ไม่ไกล
สิ่งหนึ่งที่ชาวเสื้อแดงมักบ่นกันคือ เผด็จการมีสหรัฐหนุนหลัง จะสู้ได้อย่างไร ก็ขอให้มองอียิปต์ เขาสู้อย่างทรหดตั้งแต่มีการปะทะกันมาถึงกว่าครึ่งเดือนแล้ว โดยพูดประโยคที่เหมือนมาจากสวรรค์สองคำคือ “ไม่มีการเจรจา ออกไปเดี๋ยวนี้”
นอกจากนั้นไม่รับรู้การเจรจาลวงๆระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ฯลฯ (เหมือนกันทั่วโลก พวกเผด็จการ ดังนั้นขอให้ศึกษาบทเรียนจากอียิปต์แล้วอย่าพลาดซ้ำซากอีกต่อไป)
สื่อสหรัฐทุกสายได้โจมตีวิธีการโกหกของรัฐบาลเผด็จการที่ใช้ออกมา ไม่ว่าจะเรื่องการก่อการร้าย การมีอาวุธ การชุมนุมโดยมีอาวุธ ฯลฯ สื่อทุกค่ายไปเที่ยวรายงานแล้วแสดงให้ดูว่า ไม่เคยมีอาวุธในกลุ่มผู้ประท้วงเลย และชี้ชัดว่า ความรุนแรงเกิดขึ้นจากฝ่ายรัฐบาล(หมายถึงตอนเริ่มชุมนุมก็สงบดี แต่พอพวก สงบ สันติ อหิงสา ออกมาก็เริ่มขว้างปา ขว้างระเบิด ยิงปืนใส่ รวมถึงการขี่ม้า ขี่อูฐ เอารถตำรวจพุ่งเข้าชน ฯลฯ)
เหตุการณ์เหล่านี้ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐก็พูดซ้ำๆให้มูบารัคลาออกทันทีตามที่ผู้ประท้วงต้องการ แต่แน่ล่ะเผด็จการที่ไหนจะเชื่อ ก็ลองติดตามกันดูว่าสหรัฐจะมีน้ำยา น้ำพริกอะไรหรือไม่ต่อไป แต่ที่แน่ๆ ไม่ช่วยฝ่ายเผด็จการแน่
ประเด็นที่น่าสนใจคือ แล้วอียิปต์จะกลายเป็นรัฐอิสลามหรือไม่ ซึ่งฝ่ายค้านของอียิปต์จะนิยมอิหร่านสายปกครองด้วยกฎศาสนา แต่ผู้ประท้วงคนหนึ่งอายุ 16 ปีโทรศัพท์ไปยัง ซีเอ็นเอ็นกล่าวว่า ผมไม่เคยดูข่าวอะไรมาก่อน แต่พอเกิดเรื่องได้รับข่าวจากทางอินเตอร์เนทเท่านั้น (คุ้นๆกับประเทศเผด็จการบางประเทศหรือไม่ครับ) ขอขอบคุณซีเอ็นเอ็นที่ได้ให้ความจริงกับผม ผมไม่ใช่พวกคลั่งศาสนา ผมต้องการเพียงเสรีภาพเท่านั้น ผมไปประท้วงไม่เกี่ยวอะไรกับความต้องการรัฐอิสลาม...
ตอนที่ชาวมุสลิมก้มลงละหมาด ก็มีผู้ประท้วงชาวคริสต์จับมือล้อมกันอยู่รอบๆเพื่อคอยระวังภัยให้ เห็นแล้วน่าประทับใจอย่างยิ่ง
ยังมีอะไรๆอีกมากมายในการประท้วงครั้งนี้ที่น่าสนใจ เสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่คงไม่ได้เห็น เพราะการสร้างความตื่นตกใจและสร้างเรื่องไทยปะทะกัมพูชาขึ้นกลบข่าวนี้ และก็ขอโทษด้วยนะครับ สื่อนอกเขาทันเกมส์เผด็จการนี้ ซีเอ็นเอ็น เขาเฉยๆเรื่องชายแดนไทย แถมรู้กันภายในว่า ไทยสร้างสถานการณ์เพื่ออะไรบางอย่าง จะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ นายกพระราชทาน หรือไม่ไหวก็ยึดอำนาจก็ว่ากันไป
ที่แสบทรวงคือ สำนักข่าวอัลจาซีร่า รายงานว่าไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากการยิงใส่กัมพูชาก่อน
สื่อไทยเองก็ไม่ใช่ย่อย ไปเที่ยวสัมภาษณ์เจาะลึกพบว่า ชาวบ้านบอกว่าพันธมิตรเป็นคนสร้างเหตุบ้างล่ะ มีคนเห็นทหารเอาอาวุธ หรือรถถังไปวางไว้ใกล้ๆวัด กับโรงเรียนเพื่อล่อให้กัมพูชายิงมาใส่วัด ใส่โรงเรียนบ้างล่ะ (คงเห็นภาพโรงเรียนถูกยิงไปแล้ว สิ่งนี้เขาทำเพื่อให้กัมพูชาทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศที่ห้ามยิงใส่เป้าหมายพลเรือน แต่ในทางกลับกันชาวบ้านเขาก็ด่าว่า แล้วเอาอาวุธไปไว้ตรงนั้นทำไม ทำไมไม่สู้แบบซึ่งๆหน้า...คำตอบจากฝ่ายทหารก็คงเป็นแบบว่า...แหม ก็กัมพูชาเขามีปืนนี่ตัวเอง เค้าก็ไม่กล้าไปสู้แบบลูกผู้ชายสิ เธอ)
บทความนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เขียนหลังจากการล้อมปราบที่ราชประสงค์แล้ว ด้วยความเบื่อหน่ายในอารมณ์ ที่เห็นเหตุการณ์ซ้ำซาก แต่ไม่มีใครยอมอ่านประวัติศาสตร์ เก่งแต่การขึ้นเวทีปราศรัยกันเท่านั้น มามีกำลังใจขึ้นก็ตรงการต่อสู้ของพี่น้องชาวมุสลิมในอัฟริกาเหนือนี่เอง พอมาเห็นอียิปต์แล้วจึงพอมีกำลังใจที่จะติดตามข่าวสารการเมืองขึ้นมาบ้าง ด้วยว่าจะมีบทเรียนเป็นรูปธรรมสำหรับชาวเสื้อแดงที่จะเดินกันข้างหน้าต่อไปได้ถูกต้อง ที่สำคัญจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเป็นแกนนำอีก ไม่สำคัญแล้ว โดยจะขอเล่าความเป็นมาของเหตุที่เกิดต่อไปนี้
เดิมเมื่อกลางปีก่อน มีนักธุรกิจถูกตำรวจลากจากร้านเน็ทไปซ้อมจนตายแล้วเรื่องเงียบ ก็มีพนักงานของกูเกิลคนหนึ่ง ตั้งหัวข้อในเฟสบุ๊กในทำนองว่า เราทุกคนก็เป็นเช่น (ซื่อ) นั้น แล้วก็มีคนมาร่วมกัน แสนสามหมื่นคน คนแค่แสนกว่าคนนี้ พูดกันเรื่องความไม่ยุติธรรม การกดขี่ การไร้เสรีภาพ พูดไปพูดมาก็เป็นที่มาของการประท้วงนี้
เห็นหรือไม่ครับ ใช้คนไม่มากเลย กรณีของไทยแค่เรื่อง เด็กไม่มีใบขับขี่ เส้นใหญ่ชอบเล่นบีบี ยังมีคนไปตามถล่มทีเดียว สามแสนคน กว่าสองเท่าของอียิปต์
ตอนนี้พนักงานกูเกิลคนนี้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว หลังถูกจับไปตั้งแต่เริ่มเกิดประท้วง แล้วคนประท้วงไม่มีแกนนำเลย นอกจากพนักงานกูเกิลนี้ เลยขอให้มาเป็นโฆษกของกลุ่มประท้วง ไม่งั้นเกรงว่า จะมีคนสวมรอย ซึ่งแน่ละคือพวกนักการเมืองฝ่ายค้านเป็นสำคัญ ซึ่งผู้ประท้วงไม่ยอมไว้ใจอีกต่อไป แถมยังพยายามจูงไปเป็นรัฐอิสลามเสียอีก
ในการสัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นถาม พนักงานคนนี้เข้าใจว่าชื่อ กาอิม ว่า คิดอย่างไรกับคนตาย เขาร้องไห้และบอกว่าเขาเสียใจกับผู้สูญเสียแต่ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป และจะสู้เพื่อเสรีภาพ
ท่านผู้อ่านครับ ได้เวลาหรือยังครับที่จะหันมาติดตามข่าวการประท้วงของพี่น้องชาวโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอียิปต์ต่อการปกครองแบบเผด็จการต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่สมัยฟาโรห์มาจนถึงเผด็จการซ่อนรูปในหน้าฉากประชาธิปไตยจอมปลอมของอียิปต์
ได้เวลาหรือยังที่จะศึกษาการออกมาประท้วงในแบบที่ไม่ต้องมีการเจรจา ปรองดองอะไร ไม่ยอมถูกหลอก ไม่ยอมให้แกนนำใดๆไปยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต่อสู้
ประการสำคัญคือได้เวลาหรือยังที่จะลองคิดถึงสาเหตุปัญหาที่ทำให้เผด็จการมีอำนาจต่อเนื่องยาวนานของแต่ละประเทศเช่นของอียิปต์ สาเหตุมาจากประธานาธิบดีมูบารัค ของประเทศอื่นๆ สาเหตุมาจากไหน ได้เวลาที่จะพูดถึงสาเหตุของปัญหานั้นๆจริงๆหรือยัง ไม่ใช่อ้อมๆแอ้มๆกัน อย่างทุกวันนี้
ในความเห็นของผู้เขียนเอง การไม่เป็นประชาธิปไตยของไทยเกิดจากรัฐธรรมนูญสองฉบับสำคัญ
ฉบับแรกคือการยกเลิกการกำหนดให้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจใดๆของพระมหากษัตริย์ต้องมีการลงนามร่วม (counter signature) โดยคณะกรรมการราษฎร(คณะรัฐมนตรี) ตามรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 ทำให้อำนาจของรัฐบาลและฝ่ายประชาชนหมดลง
ในฉบับที่สองคือการยึดอำนาจของพรรคการเมืองเก่าแก่ร่วมกับทหารกับบางส่วนของคณะราษฎรที่ทะเลาะกัน(เหมือนตอนนี้ของฝ่ายแกนนำเสื้อแดง)และทรยศหันมาเข้าข้างฝ่ายเผด็จการ ทำการรัฐประหารในปี 2489 แล้วสร้างกลไกสำคัญได้แก่ คณะอภิรัฐมนตรีต่อมาเปลี่ยนเป็นคณะองคมนตรี ซึ่งมีบทบาททางการเมืองนอกรัฐธรรมนูญตลอดมา ทั้งการทำให้เกิดรัฐประหารต่อรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม โดยจอมพลสฤษดิ์ ฯลฯ การใช้ทหารเป็นผู้คุมอำนาจแทน ฯลฯ หรือยึดอำนาจเมื่อเห็นว่าฝ่ายประชาชนแข็งแรงขึ้น
การที่จะตัดวงจรอุบาทว์หรือการยึดอำนาจก็คือการย้อนคืนกลับไปสู่รัฐธรรมนูญของคณะราษฎรเพื่อเริ่มต้นการอภิวัฒน์ต่อ ก็เท่านั้นเอง
ส่วนการเรียกร้องในการเดินขบวนประท้วงครั้งต่อไปก็ทำได้ในกรอบของรัฐธรรมนูญคือการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนดังนี้
ประการที่หนึ่ง ขอให้ยกเลิกหมวดที่เกี่ยวข้องกับคณะองคมนตรี และให้คณะรัฐมนตรีรับหน้าที่แทนเหมือนกับสมัยก่อน 2489
ประการที่สอง ให้คณะกรรมการอิสระและผู้ที่มาจากการแต่งตั้งหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ออกจากตำแหน่งทั้งหมด ได้แก่ กกต ปปช วุฒิฯแบบแต่งตั้ง เป็นต้น แล้วให้ สหประชาชาติส่งผู้แทนมาทำหน้าที่แทน
ประการที่สาม ให้รัฐสภาให้สัตยาบันการเป็นสมาชิกภาคีธรรมนูญกรุงโรมเพื่อให้มีการสอบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอีกต่อไปตราบชั่วกาลนาน
ประการที่สี่ ให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายใน 1 เดือน ให้รัฐบาลนี้แหละรักษาการณ์ไม่ต้องรีบออกไปไหน แต่การยุบสภาก็เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพของตนอย่างเต็มที่ ที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง
ข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ไม่ยากเกินไป ผู้เขียนได้ฟังบางส่วนจากการสนทนากันของเหล่าเสื้อแดง จึงได้นำมาเรียบเรียงไว้เป็นแนวทาง
จะเห็นได้ว่า มีคนต้องออกจากตำแหน่งเนื่องจากการยุบเลิกองค์กร และลาออกตามความจำเป็นจำนวนไม่ถึงร้อยคนเท่านั้น การให้สัตยาบันต่อศาลโลกก็ง่ายๆแค่ยกมือ การยุบสภาฯก็ไม่เสียหายอะไรเพราะบอกว่าจะยุบอยู่แล้ว ไม่ด้วยเวลานี้ก็ด้วยหมดเวลา แต่การให้ยุบสภานี้ก็เพื่อป้องกันการสร้างเรื่องขอยึดอำนาจตัวเองเท่านั้น
ปัญหามีอยู่นิดเดียวว่า มวลชนพร้อมแล้ว แกนนำพร้อมหรือยัง หรือว่า จะให้มวลชนเริ่มประกาศการออกมชุมนุมกันเองอย่างยืดเยื้อได้แล้ว โดยมีข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นอย่างง่ายๆ แต่มีการเตรียมตัวพร้อมรับการเข่นฆ่าอีกครั้งอย่างไม่ประมาท ไม่ยอมให้ล้อม หาช่องทางให้สื่อต่างประเทศถ่ายภาพที่ชุมนุมได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นการป้องกันตัวจากการลอบทำร้ายอย่างที่ทำกันได้อย่างดีในอียิปต์หรือไม่
ผู้เขียนเชื่อว่า ครั้งต่อไปนี้สื่อต่างประเทศจะมีส่วนร่วมในการโค่นล้มเผด็จการในประเทศไทยได้แน่นอน เพราะมีประสบการณ์ต่างๆครบถ้วนแล้ว
ทหารไทยเองก็จะยากที่จะออกมาฆ่าใครส่งเดชได้ เพราะเท่าที่โดนรัฐบาลหักหลัง จะจับขึ้นศาลเพื่อปัดภาระให้พ้นตัวนี่ก็ทำให้เข็ดหลาบไปเยอะแล้ว
ดังนั้น ณ เวลานี้ ฝ่ายเผด็จการอ่อนกำลังจนไม่เหลืออะไรเป็นที่พึ่งแล้ว สหรัฐก็ชัดเจนแล้วว่า เลือกประชาชนมากกว่าสมุนรับใช้ คำถามคือ แกนนำ ท่านทำอะไรกันอยู่
สำหรับมวลชน ขอให้ร้องเพลงของเบิร์ด ทำตัวเบิร์ดๆ ในทำนองว่า
“ประท้วงตรงโน้น หนาวถึงคนตรงนี้” ได้แล้ว