ที่มา ประชาไท
เราอยู่ในประเทศที่ปกครองโดยม็อบหรืออย่างไร ม็อบกดดันให้ทำรัฐประหาร ผู้มีอำนาจตัวจริงก็ทำ ม็อบขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อไรก็ได้ ม็อบกดดันให้รบกับประเทศเพื่อนบ้านรัฐบาลก็รบ
เมื่อวันก่อนผมเห็น พลตรีจำลอง ศรีเมือง ประกาศเกียรติภูมิของ “ม็อบมืออาชีพ” บนเวทีพันธมิตร ว่าออกมาสู้เมื่อไรก็ชนะทุกที มีสถิติชนะมาแล้ว 8 ครั้ง อาทิเช่น ล้มกฎหมายทำแท้งได้ แต่พลตรีจำลองคงไม่ตระหนักว่า ผลแห่งชัยชนะนั้น ทำให้ผู้หญิงอีกจำนวนเท่าใดที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ต้องทนทุกข์ทรมาน เสี่ยงชีวิตกับการทำแท้งเถื่อนอย่างไร้มาตรฐานความปลอดภัย ไร้ที่ปรึกษา ไม่มีระบบการดูแลที่ถูกต้อง ฯลฯ
หรือในชัยชนะที่ล้มรัฐบาลทักษิณ สมัคร และสมชายได้ แต่พลตรีจำลองและพันธมติรคงไม่เคยตระหนักว่า ผลแห่งชัยชนะนั้นเป็นการฉีกติกาประชาธิปไตย ทำลายหลักนิติรัฐ สร้างระบบสองมาตรฐานให้แข็งแกร่งเข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์ ดึงสถาบันกษัตริย์มาเล่นการเมืองสร้างความแตกแยกไปทุกหย่อมหญ้า ทำลายความเป็นมนุษย์ของคนชนบทคนชั้นล่างอย่างยับเยิน!
เมื่อเช้านี้ผมเห็นพลตรีจำลอง และเหล่าพันธมิตรแถลงข่าวด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น ดวงตาฉายแววของผู้ชนะ ประกาศจะเดินหน้ากดดันให้รัฐบาลพิจารณาตัวเอง ราวกับสะใจที่เกิดการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นสมเจตนารมณ์แล้ว พวกเขาไม่มีแววตาของความโศกเศร้าเจ็บปวดต่อการสูญเสียชีวิตทหารและชาวบ้านตามแนวชายแดนเลย
ไม่น่าเชื่อว่าสีหน้าแววตาของชายชราที่กินมังสวิรัติ แต่งชุดม่อฮ่อม อาบน้ำวันละ 5 ขัน ไม่นอนกับเมีย ถือศีล 8 อย่างเคร่งครัดมาอย่างยาวนาน จะไร้ซึ่งความวิตกกังวลต่อการสูญเสียของเพื่อนมนุษย์ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมชาติและประเทศเพื่อนบ้าน
มาตรฐานทางศีลธรรมที่เคร่งครัดกับตนเองจนตึงเครียดแบบสันติอโศกได้ถูกนำมาบีบเค้นคนอื่นๆ และสังคมให้เคร่งเครียดขัดแย้งอย่างเลือดเย็น พลตรีจำลองและพันธมิตรกำลังประกาศชัยชนะอีกครั้ง บนซากปรักหักพังของมิตรภาพระหว่างประเทศ บนการปะทะตามแนวชายแดนที่อาจนำไปสู่สงครามระหว่างประเทศ
นิ้วมือที่ชี้หน้าคนอื่นๆ ฝ่ายอื่นๆ ให้รับผิดชอบ พลตรีจำลองและพันธมิตรเคยหันกลับไปมองตนเองบ้างไหมว่า พวกเขาควรรับผิดชอบอะไรบ้าง พวกเขาประกาศชัยชนะแต่ละครั้งราวกับว่าได้สร้างคุณูปการอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศนี้
แล้วระบบประชาธิปไตยที่ล้มละลาย ระบบความยุติธรรมที่ล้มเหลว และความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชากำลังพังพินาศ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยวย่อยยับ ชีวิตของทหารและประชาชนทั้งไทยและกัมพูชาต้องสูญเสียและต้องอยู่อย่างยากลำบากอีกยาวนาน ใครรับผิดชอบ!
ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้สื่อมวลชนยังเอาแต่เสนอข่าวตามสถานการณ์ นักวิชาการยังรักษา “ความเป็นกลาง” (???) ปล่อยให้พันธมิตร สันติอโศกทำอะไรได้สบายใจ ไม่ตั้งคำถาม ไม่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักแน่นพอ
เหมือนกับเหตุการณ์ปี 53 ที่สื่อต่างเสนอข่าวตามกระแส นักวิชาการต่างเคร่งครัดในความเป็นกลาง ไม่ตั้งคำถามอย่างจริงจังกับวาทกรรม “ขบวนการล้มเจ้า” “ผู้ก่อการร้าย” ฯลฯ ปล่อยให้รัฐบาลใช้วาทกรรมอำมหิตดังกล่าวสร้างความชอบธรรมในการล้อมปราบประชาชนอย่างหน้าตาเฉย
คราวนี้พันธมิตรกำลังใช้วาทกรรม “รักชาติ” จุดชนวนสงครามระหว่างประเทศ และพวกเราต่างนั่งดูกันตาปริบๆ พวกเขากำลังเล่นอะไรกันอยู่หรือ?
พันมิตร ประชาธิปัตย์ กองทัพ อำมาตย์ ต่างมี “ความกลัวร่วม” อย่างเดียวกัน คือกลัว “การเลือกตั้ง” กลัวการกลับมาของพรรคเพื่อไทยและทักษิณ พวกเขากลัวการถูกเช็คบิลจนขี้ขึ้นสมอง ทั้งที่จริงแล้วพรรคการเมืองของคนเสื้อแดงอ่อนแอมาก ยากที่จะได้เสียงข้างมากอย่างการเลือกตั้งคราวที่แล้ว
แต่พวกเขาก็ต้องการความมั่นใจ และไม่มีอะไรจะปลอดภัยสำหรับพวกเขาเท่ากับทำอย่างไรก็ได้ให้อำนาจรัฐยังคงอยู่ในมือของฝ่ายอำมาตย์ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ได้แม้ด้วยการนำพาประเทศเข้าสู่ภาวะสงคราม!
แน่นอนว่า 7 คนไทยที่ถูกเขมรจับ ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นายชัยวัฒน์ สินธุ์สุวงศ์ ถูกจับ (พอเป็นพิธี) และออกมาแถลงข่าวว่าไปเจรจากับแกนนำเสื้อแดงในคุกเพื่อขอกำลังคนเสื้อแดงล้อมทำเนียบฯ ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญ และแม้แต่การเกิดปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ก็ยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นเพียง “อุบัติเหตุ”
ถามว่า พันธมิตร-กองทัพ-อำมาตย์-ประชาธิปัตย์ กำลังเล่นอะไรกันอยู่ พวกเขาจะประกาศชัยชนะบนซากปรักหักพังของประเทศกันอีกกี่ครั้ง จะให้พวกเขาสอนบทเรียนอีกกี่บทเรียน สังคมไทย (โดยเฉพาะชนชั้นกลางในเมือง) จึงจะเกิดการเรียนรู้?!
พลังถ่วงดุลอำนาจม็อบพันธมิตร-กองทัพ-อำมาตย์ –ประชาธิปัตย์ หายไปไหน สื่อ นักวิชาการ ปัญญาชนที่เอาแต่ตรวจสอบและตัดสินคนต่างจังหวัดคนชนบท ยังหลับใหลไม่ยอมตื่น