WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, February 7, 2011

ประเทศไทยไม่ต้องการสงคราม

ที่มา มติชน





เหตุปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา บริเวณชายแดนซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ใกล้ปราสาทพระวิหาร นำมาสู่การบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตของราษฎรและทหาร ทั้งที่เป็นคนไทยและเขมร แม้ในจำนวนที่อาจไม่สูงนัก ทว่าก็มิสามารถประเมินค่าได้


อาจดูเหมือนเป็นเรื่องน่ายินดี เมื่อสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นมีทีท่าผ่อนคลายลง เพราะทหารทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาหยุดยิงกันได้เป็นผลสำเร็จ


แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ทำให้สังคมไทยต้องหันกลับมาทบทวนตนเองในหลายจุดหลายด้าน


เราอย่าเพิ่งไปโทษกัมพูชาว่าเป็นฝ่ายเดียวที่ต้องรับผิดชอบต่อการปะทะกันครั้งนี้


เราอย่าเพิ่งไปโทษคำตัดสินของศาลโลก โทษยูเนสโก โทษคณะกรรมการมรดกโลก หรือโทษเอ็มโอยู 2543 ว่ามีส่วนสำคัญต่อความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


เราอย่าเพิ่งไปโทษเจ้าอาณานิคมในอดีต ว่าเป็นผู้ร้ายเพียงรายเดียวที่มาขีดลากเส้นพรมแดนในจินตนาการตัดผ่านชีวิตและความสัมพันธ์ของผู้คนในโลกแห่งความจริง


(เพราะถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ให้ละเอียด เราจะพบว่า ชนชั้นนำสยามก็ยินดีที่จะปรับประสานต่อรองผลประโยชน์ของตนเองให้สอดคล้องลงตัวกับเจ้าอาณานิคมเช่นกัน ยังไม่ต้องนับรวมชนชั้นนำ/ชนชั้นปกครองไทยยุคปัจจุบัน ซึ่งใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้เรื่องเส้นเขตแดนตามวิชาภูมิศาสตร์สมัยใหม่ อันถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยเจ้าอาณานิคมอยู่มิใช่น้อย)


เพราะ "ปัจจัยภายนอก" ทั้งหลาย สามารถถูกสร้างให้กลายเป็น "ผู้ร้าย" ได้อยู่เสมอ ยามเมื่อ "รัฐชาติ" หนึ่งมีปัญหากับ "รัฐชาติ" อื่นๆ หรือยามเมื่อ "รัฐชาติ" นั้นมีปัญหาภายในเกิดขึ้น


แต่เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า การปลุกกระแส "คลั่งชาติ" ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งโดย "รัฐ" และ "ประชาชน" บางกลุ่ม เพื่อนำ "ชาติ" มาเป็นเครื่องมือในการเล่นการเมือง หรือ กำจัดคู่แข่งทางการเมืองภายในประเทศ ได้ส่งผลเสียหายมายังเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ 2554 ด้วยหรือไม่?


หรือถ้าบรรดาผู้ที่ปลุกกระแส "คลั่งชาติ" ขึ้นมา เชื่อมั่นว่าพวกตน "รักชาติ" จริงๆ ก็คงต้องลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า พวกท่านกำลัง "รักชาติ" แบบไหน? รักด้วยความคิดที่ว่าต่อให้มีการรบกันก็ต้องยอม ขอเพียงเราได้ดินแดนหรือปราสาทพระวิหารคืนกลับมา (โดยไม่ต้องใส่ใจในชีวิต ความเป็นอยู่ และความเป็นความตาย ของเพื่อนมนุษย์ตามชายแดน -ไม่ว่าจะสังกัด "ชาติ" ใด- เลยสักนิด) ใช่หรือไม่?


หากลองตั้งสติดีๆ และตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ เราก็จะพบว่า แท้จริงแล้ว ผู้คนธรรมดาสามัญส่วนใหญ่ในประเทศไทยไม่ต้องการสงคราม


เนื่องจากพวกเขาและเธอจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการสู้รบดังกล่าว ซึ่งรังแต่จะทำให้ชาวบ้านผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ (และไม่ได้คลั่งชาติ/รักชาติ/ใส่ใจกับเส้นเขตแดน ดังเช่นรัฐส่วนกลาง/คนบางกลุ่มในส่วนกลาง) ต้องเสียชีวิต


แต่ถ้ารัฐส่วนกลาง/คนบางกลุ่มในส่วนกลาง ไม่เห็นใจชาวบ้านตามเส้นพรมแดน ก็ขอให้รู้จักถนอมรักษาตัวเองกันไว้บ้างเถิด เพราะใช่ว่าความพินาศวอดวายตามแนวชายแดนจะถูกแปรผันเป็น "เครื่องมือทางการเมือง" อันทรงพลานุภาพแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น ทว่ามันยังสามารถกร่อนเซาะซ้ำเติมโครงสร้างรัฐส่วนกลางที่กำลังผุพังอยู่ได้ด้วย


และในอดีต กลุ่มผู้ปกครองของหลาย "ชาติ" ก็เคยพ่ายแพ้หรือสูญเสียที่มั่นในสมรภูมิทางการเมืองภายในประเทศมาแล้ว เพราะการมุ่งหาประโยชน์จากการทำสงครามภายนอกประเทศนี่แหละ