ที่มา มติชน
ทันทีที่เสียงปืนที่ชายแดนไทย-กัมพูชาดังขึ้น รัฐบาลไทยและกัมพูชาต่างก็ชี้นิ้วไปยังฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้น
ไม่มีใครยอมรับว่าตนเองเป็นผู้สร้างสถานการณ์หรือเริ่มต้นยิงก่อน
ไม่มีใครรู้ว่า"ความจริง" เป็นเช่นใด
แต่การเดินเกมของแต่ละประเทศหลังเสียงปืนสงบลงต่างหาก ที่สะท้อนให้เห็นถึง "เป้าหมาย" แท้จริง หรือ "ความจริง" บางประการที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลาย
"ฮุนเซน" นั้นทำหนังสือฟ้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเรียกร้องให้ให้มีประชุมด่วน
เรียกร้องถึงขั้นให้สหประชาชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา
ในขณะที่ประเทศไทยต้องการให้การแก้ปัญหาดำเนินไปแบบ "ทวิภาคี"
คือ จำกัดวงความขัดแย้งให้อยู่กับ "ไทย-กัมพูชา"
ประเทศอื่นหรือองค์กรนานาชาติอื่นไม่ควรจะยุ่งเกียว
ไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติ หรืออาเซียน
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ท่าทีของรัฐบาลไทยหลังเกิดเหตุปะทะกัน ก็คือ การยื่นหนังสือถึง "ยูเนสโก"
ขอให้หยุดการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
เพราะชัดเจนว่าการดำเนินการดังกล่าวก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้นมา
"บรรทัดสุดท้าย" หลังเสียงปืนสงบของทั้ง 2 ประเทศ เป็นการบ่งบอกถึง "เป้าหมาย" ในใจของตนเอง และบอกให้รู้ว่าใครมี "จุดแข็ง-จุดอ่อน" อย่างไร
"ฮุน เซน" เลือกเล่นเกมดึงนานาชาติเข้ามา
รุกไปถึงสหประชาชาติ
ส่วน "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เลือกที่จะยื่นหนังสือถึง "ยูเนสโก"
เป้าหมายชัดเจนคือเรื่องการขัดขวางการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ทั้ง2 ประเทศเลือกเกมที่ตนเองได้เปรียบ
.................
ทำไม "ฮุน เซน" จึงเลือกเล่นเกมดึงนานาชาติเข้ามา
เหตุผลง่ายๆ ก็คือ การเจรจาแบบ "ทวิภาคี" นั้น สิ่งที่ "ไทย" ได้เปรียบ "กัมพูชา" คือ สมรรถนะของกองทัพไทยที่เหนือกว่า
แต่ถ้าสหประชาชาติเห็นด้วยกับ "ฮุนเซน" และส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาเป็นกำแพงกั้นระหว่าง "ไทย-กัมพูชา"
ความได้เปรียบของไทยก็ถูกลดลงเหลือ 0 ทันที
จากนั้นก็เหลือเพียงเกมการทูต และกฎหมายระหว่างประเทศ
ซึ่ง "กัมพูชา" ได้เปรียบ
ได้เปรียบ หรือเสียเปรียบ ให้ดูจากท่าทีของประเทศไทย
"อภิสิทธิ์" นั้นหลีกเลี่ยงที่จะให้นานาชาติ แม้แต่อาเซียนเข้ามาเป็น "ตัวกลาง" ในการเจรจา
เพราะเขารู้ดีว่าวันนี้ "เพื่อน" ที่สนับสนุนไทยในเวทีโลกลดน้อยลงเรื่อยๆ ในยุค "กษิต ภิรมย์" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ในขณะเดียวกัน เกมการทูตของไทยก็เดินตามหลัง "กัมพูชา" มาโดยตลอด
"สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงกับเอ่ยปากว่าที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศต้องประเมินให้ลึกที่สุดว่ากัมพูชาจะเดินเกมอย่างไรต่อไป เพราะที่ผ่านมาตามเกมกัมพูชาไม่ทัน
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ดังนั้น ถ้าผลักเรื่องความขัดแย้ง "ไทย-กัมพูชา" เข้าสู่เวทีสากลเมื่อไร
ไทย เสียเปรียบ กัมพูชา ทันที
ถามว่าวันนี้ใครมั่นใจบ้างว่าหากนำกรณีความขัดแย้งดังกล่าวขึ้นสู่เวทีโลกแล้ว
ไทยจะชนะ
เพราะถ้ามั่นใจจริงๆเหมือนกับที่ออกโทรทัศน์ชี้แจงกับประชาชน หรือบนเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯในอดีต
"อภิสิทธิ์-กษิต" คงไม่ท่องคาถา "ทวิภาคี" อยู่ตลอดเวลา
"สุรเกียรติ์" บอกว่าประเด็นที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ การที่กัมพูชาจะขอร้องให้สหประชาชาติมีความเห็นไปถึงศาลโลก ซึ่งหากสำเร็จจะสร้างความยุ่งยากให้กับประเทศไทยมากขึ้นกว่าเดิม
บาดแผลจากความพ่ายแพ้ในศาลโลกเมื่อครั้งก่อน ยังเป็น "หนามยอกอก" ของไทย
และหลายคนรู้อยู่กับใจว่า "ทับซ้อน" แบบคาราคาซัง ยังดีกว่าถูกตัดสินให้เป็นพื้นที่ของกัมพูชาไปเลย
ล่าสุด นางมาเรีย หลุยซา รีไบโร วิอ๊อตติ ทูตบราซิลซึ่งเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมจัดการประชุมคณะมนตรีฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
และสนับสนุนให้ "อินโดนีเซีย" ซึ่งเป็นประธานอาเซียนเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยเรื่องนี้
ล่าสุดนายมาร์ตี้ นาตาเลกาวา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานอาเซียน ได้เข้าพบ"ฮอ นัม ฮง "และ"กษิต ภิรมย์"เพื่อรับฟังข้อมูลของทั้งสองฝ่าย
นี่คือ การเคลื่อนไหวในเชิงปฏิบัติการครั้งแรกในเรื่องนี้ของ"อาเซียน" หลังจากที่เคยแค่ออกแถลงการณ์เท่านั้น
แม้คำแถลงหลังการเข้าพบ"กษิณ" นายนาตาเลกาวา จะสรุปว่าเขาเข้าใจดีว่าการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุด คือการเจรจาทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศ
แต่ประโยคที่ตามมาน่าสนใจมาก
"แต่เห็นว่าอาเซียนและองค์กรพหุภาคีก็สามารถมีบทบาทในการช่วยสนับสนุนเพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเจรจาทวิภาคีได้"
การขยับตัวของสหประชาชาติและกลุ่มอาเซียน เป็นจังหวะก้าวที่ต้องจับตามอง
"ไทย" กำลังถูกบังคับให้เดินหน้าสู่ "เกม" ที่ "กัมพูชา" ได้เปรียบ
นี่คือ ความล้มเหลวทางการทูตของรัฐบาล "อภิสิทธิ์" อีกครั้งหนึ่ง