WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, April 3, 2011

คำถามอุบาทว์! ยังมีอยู่!

ที่มา บางกอกทูเดย์

ทำไมคนจึงไม่เชื่อ...จะมีการเลือกตั้ง?
ทำไมสังคมยังระแวง...อำนาจนอกระบบ?
ทำไมข่าวลือ.... 'มือที่มองไม่เห็น'จึงยังมีอยู่?

เรื่องของความเชื่อหากเกิดขึ้นแล้ว เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อนั้นได้ง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ให้เห็นผลอย่างชัดเจน
เฉกเช่นเดียวกับเรื่องของข่าวลือ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มักจะดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่เงื่อนไขที่สนับสนุนข่าวลือยังคงมีน้ำหนัก
ตราบนั้นคนก็ยังจะเชื่อว่าข่าวลือเหล่านั้นมีความเป็นไปได้
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในขณะนี้เองก็เช่นกัน คำยืนยันในเรื่องการยุบสภาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งตามกฏหมายแล้วเป็นบุคคลที่มีอำนาจเต็มแต่เพียงผู้เดียวในการที่จะประกาศยุบสภาเมื่อไหร่ก็ได้
และในวันนี้นายอภิสิทธิ์ได้ใช้ศักดิ์ศรีของความเป็นนายกรัฐมนตรี การันตีแล้วว่าจะยุบสภาในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน!
สังคมจะไม่เชื่อก็คงไม่ได้แล้ว เพราะหากไม่ยุบสภาอนาคตบนเส้นทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ก็คงจะไร้น้ำหนัก ไร้ความเชื่อถือจากสังคมอีกต่อไป
ดังนั้น บางกอก ทูเดย์ เชื่อมั่นว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบิดพลิ้วหรือเบี้ยวไม่ยอมยุบสภาอย่างที่หลายๆฝ่ายห่วงกัน
โดยคำพูดของนายอภิสิทธิ์เองที่เป็นบ่วงรัดพันธนาการ เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ต้องยุบสภาอย่างแน่นอน
แต่บนความจำเป็นที่ต้องยุบสภา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยให้บรรยากาศการแตกต่างทางความคิดที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งในวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เฉพาะ “ขั้วสีเหลือง” และ “ขั้วสีแดง”เท่านั้น หากยังมี “ขั้วประชาธิปัตย์” “ขั้วอำนาจพิเศษ” และ “ขั้วของกองทัพ” ซึ่งล้วนแล้วแต่มีจุดยืนแห่งผลประโยชน์ทางการเมืองที่แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้น
แม้แต่กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคปลาไหล “ชาติไทยพัฒนา” ของ นายบรรหาร ศิลปอาชา ที่พร้อมจะเสียบร่วมกับใครก็ได้ ขอเพียงแค่ไม่ต้องเป็นฝ่ายค้านเท่านั้นเป็นพอ รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย ที่มี นายเนวิน ชิดชอบ เป็นซุปเปอร์ซีอีโอกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ สั่งพรรคซ้ายหันขวาหันได้ดั่งใจ แม้ว่าจะถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมืองอยู่ก็ตาม
ก็เป็นอีกพรรคหนึ่งที่มีจุดยืนในการสนับสนุนผู้ที่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ดังนั้นโดยสถานการณ์ของการแตกต่างทางความคิดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในสังคมไทย นับตั้งแต่การทำรัฐประหาร 19 กันยา 2549 เป็นต้นมา
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มาถึงวันนี้การตัดสินใจยุบสภาหรือไม่ยุบสภาก็ตาม กลายเป็นถูกมองว่า ยังไม่ใช่ทางออกของประเทศไทยในขณะนี้
เพราะต่อให้นายอภิสิทธิ์ไม่ยอมยุบสภาในช่วงเดือนพฤษภาคมตามสัญญาจริงๆ เมื่อถึงปลายปีนี้ รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ต้องครบวาระพ้นตำแหน่งสิ้นสุดอำนาจทางการเมืองไปอยู่ดี
สิ่งที่ทำได้จึงเป็นแค่การยื้อเวลาออกไป ยื้อจากกลางปีไปเป็นปลายปีเท่านั้นเอง
สำหรับคนที่มีการศึกษาในระดับที่สูง จบจากต่างประเทศ จบจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบของระบอบประชาธิปไตย จึงทำให้เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะดีดลูกคิดกี่ชั้นนายอภิสิทธิ์ก็คงจะต้องยุบสภาเพื่อรักษาคำพูด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ทางการเมืองเอาไว้ก่อน
ส่วนอนาคตว่าจะหาหนทางอย่างไรให้กลับมาเป็นรัฐบาล ก็ค่อยไปแก้ปัญหาตายเอาดาบหน้า เพราะตราบใดที่ขั้วอำนาจพิเศษและขั้วอำนาจกองทัพยังสนับสนุนโอกาสที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมายึดกุมอำนาจทางการเมืองสมัยที่สองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ดังนั้นไม่ว่าวิเคราะห์จากกลุ่มใดขั้วใด ก็ล้วนมองตรงกันว่า การยุบสภานั้นเป็นไปได้แน่
เพียงแต่กลับเกิดปรากฎการณ์ของความไม่เชื่อถือว่า หลังการยุยสภาสังคมและประชาชนคนไทยจะมีโอกาสได้เลือกตั้งจริงหรือไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ตลกมากๆ หากเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
เนื่องจากในระบอบประชาธิปไตยทีแท้จริงที่ทั่วโลกยอมรับ เมื่อมีการยุบสภาก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ตามมา
ไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่ยุบสภาแล้วจะไม่มีการเลือกตั้ง ยกเว้นภายใต้เงื่อนไขเผด็จการครองอำนาจเท่านั้น
แต่กลายเป็นว่า ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ประกาศย้ำแล้วย้ำอีก แต่สังคมก็ยังถามไถ่กันให้วุ่นว่า จะได้เลือกตั้งหรือเปล่า???
จึงถือเป็นปรากฏการณ์ “คำถามอุบาทว์” ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในสังคมไทยที่ทำให้ทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นแวดวงการเมือง วงการธุรกิจ ชาวบ้านระดับรากหญ้า เมื่อพบปะเจอะเจอกันก็จะถามเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า
“ตกลงจะมีการเลือกตั้งหรือไม่?”
แม้ว่าจะเป็นคำถามอุบาทว์ที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นก็จริง แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ถือเป็นสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ เป็นสิ่งที่รัฐบาล และเป็นสิ่งที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมทั้งขั้วอำนาจพิเศษ และขั้วอำนาจกองทัพ ควรจะต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ทำไมสังคมถึงเกิดความสงสัย และไม่เชื่อถือว่าจะมีการเลือกตั้งจริงๆ
เรื่องนี้แม้กระทั่งว่าหากมี “มือที่มองไม่เห็น”อยู่ในสังคมไทยขณะนี้จริงๆ มือที่มองไม่เห็นที่ว่าก็ควรจะต้องทบทวนย้อนคิดด้วยเช่นกัน ว่าทำไมประชาชนไม่เชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง
เป็นไปได้หรือไม่ว่าความเลวร้ายของพฤติกรรม 2 มาตรฐานที่ผ่านมา ได้ทำลายความน่าเชื่อถือในการเลือกตั้ง ว่าจะเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมไปจนหมดสิ้นแล้ว
รวมทั้งพฤติการณ์ของขั้วอำนาจพิเศษ และ ขั้วอำนาจกองทัพ ที่ได้มีการหนุนและอุ้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จนทำให้ระบบยุติธรรมของประเทศยับเยินไปหมด เสื่อมเสียภาพลักษณ์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต
จึงทำให้คนไม่เชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือว่าจะมีเกิดขึ้นได้จริงๆ
ยังมีผู้คนมองว่า ตราบเท่าที่นายอภิสิทธิ์ยังเป็นเด็กดี ยังเป็นหมากที่สมควรถูกใช้เดินหรือเป็นม้าที่ขั้วอำนาจพิเศษยังคงเลือกที่จะใช้ขี่อยู่ต่อไป
ปรากฏการณ์เช่นนี้ รวมทั้งคำถามอุบาทว์ที่เกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งที่น่าห่วงใยเป็นอย่างมากสำหรับสังคมไทย เพราะในความเป็นจริงการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงนั้น ควรที่จะต้องถือเป็น
ทางออกหนึ่งเดียวของประเทศไทยในขณะนี้
แต่ทำไมสังคมไทยกลับยังไม่เชื่อถือ แม้กระทั่งขนาดว่า ทั้งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารอากาศ พากันออกมายืนยันว่าจะไม่มีการปฏิวัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.นั้นออกมาพูดซ้ำซากไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดข่าวลือหรือหยุดความระแวงสงสัยในเรื่องการปฏิวัติไปได้เลย
สำคัญที่สุดก็คือ คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศชัด ว่าจะมีการยุบสภา จะมีการเลือกตั้ง แต่คนกลับระแวงไม่เชื่อถือ
ทำให้อดมองอีกมุมหนึ่งไม่ได้ว่า ในเมื่อสังคมรู้ดีว่าในระบอบประชาธิปไตย การยุบสภาจะต้องตามมาด้วยการเลือกตั้ง ถ้าเช่นนั้นแล้วความหวาดระแวงจะเกิดขึ้นมาจาก การกลัวการแทรกแซงของอำนาจนอกระบบใช่หรือไม่?
ซึ่งหากสังคมกลัวการแทรกแซงของอำนาจนอกระบบจริงๆ ก็ต้องแปลว่า สังคมไทยในขณะนี้เชื่อว่า “อำนาจนอกระบบมีอยู่จริง” เช่นนั้นใช่หรือไม่
ใครเป็นคนทำให้สังคมไทยเชื่อว่ามีอำนาจนอกระบบอยู่จริงๆ
และใครเป็นคนที่ใช้อำนาจนอกระบบนั้นแทรกแซงการเมือง
คำถามที่เป็นงูกินหางเช่นนี้ เป็นวังวนที่เกิดขึ้นหลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทั้งสิ้นใช่หรือไม่
บ้านเมืองคงยากจะเดินหน้า และยากจะปรองดอง หากยังคงมีคำถามกันอยู่ในสังคม ว่าใครคือขั้วอำนาจนอกระบบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงจะต้องใช้ความกล้า และความรู้ที่ถูกปลูกฝังในเรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริงมาจากประเทศอังกฤษ หาทางยุติวงจรอำนาจนอกระบบให้ได้ เพื่อให้สังคมเลิกหวาดระแวง และขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการเลือกตั้งที่จะมาถึง
เพราะไม่ว่าอย่างไร บางกอก ทูเดย์ ยังคงเชื่อมั่นว่า การเลือกตั้งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงไม่เชื่อว่า จะไม่มีการเลือกตั้ง!!!
เพราะการเลือกตั้ง ถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดที่จะปลดล็อคประเทศไทย
เพียงแต่จะต้องเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม
จะต้องไม่มีเงื่อนงำของขั้วอำนาจพิเศษ ไม่มีเงื่อนไขของขั้วอำนาจกองทัพ เข้ามาทำลายความน่าเชื่อถือและการยอมรับผลการเลือกตั้ง
จะต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีผลการเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย ไม่ว่าพรรคกการเมืองใดจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งก็ตาม
ในหลักจิตวิทยาทั่วๆไปคนที่กลัวผีมักจะต้องกลัวความมืดด้วย เพราะในความมืดจะก่อให้เกิดความหวาดระแวงว่าจะมีผี
แต่ในสถานการณ์การเมืองในขณะนี้กำลังกลายเป็นว่า คนที่กลัวผีกลับเกิดความกลัวทั้งๆที่ยังไม่ทันมืด
นั่นคือขั้วอำนาจต่างๆในขณะนี้ล้วนกลัวว่าผลการเลือกตั้งที่จะมาถึง พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายชนะจะเป็นฝ่ายได้รับสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล จึงพยายามทำทุกอย่างที่จะขัดขวางการเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย
รวมถึงแม้กระทั่งการพยายามที่จะไม่ให้มีการเลือกตั้ง หากยังไม่มั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะชนะ???
ไม่เป็นการกลัวผีทั้งๆที่ยังไม่ทันมืดไปหน่อยหรือ??