ที่มา Thai E-News
โดย Pegasus
17 พฤศจิกายน 2554
ก่อนอื่นเรื่องน้ำท่วมนี้อยากให้ลองคิดกันในมุมมองที่ต่างออกไป จากที่เคยคิดกันว่าน้ำท่วมนี้เป็นอุทกภัยปกติประจำปี มาเป็นน้ำท่วมคือการทำสงครามกับประชาชนจากฝ่ายอำมาตย์ การมองปัญหาอะไรต่างๆก็จะแจ่มชัดขึ้น
จะเห็นได้ว่าฝ่ายอำมาตย์ได้มีการเตรียมนักวิชาการและสื่อในมือในการโหมประชา สัมพันธ์ หรือโฆษณาชวนเชื่อล้างสมองอะไรตามแต่จะเรียกกันไปมาล่วงหน้า
ตั้งแต่มีผู้ปกครองเป็นสตรีจะเกิดน้ำท่วม การทำฝนเทียม การปล่อยน้ำ กักน้ำผิดปกติวิสัย การวางแผนปล่อยน้ำให้พอดีลงมาเจอช่วงพายุเข้าภาคกลางพอดิบ พอดี
เดชะบุญที่ฝนขาดช่วงก่อนเวลาก็เลยเจอว่าในพื้นที่ภาคกลางและกทม.ที่ไม่ได้มี การขุดลอกคลองและดูแลประตูระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำให้พร้อมตั้งแต่หลายเดือนก่อนน้ำมาถึง ทั้งๆที่เป็นคณะอนุกรรมการบริหารงานน้ำตั้งแต่เริ่มกัก เริ่มปล่อยน้ำกันมาตั้งแต่ต้น
เป้าหมายคืออะไร ก็คือสิ่งที่ฝ่ายค้านได้โปรยกระแสมาก่อนว่า รัฐบาลบริหารงานไม่เก่ง มือใหม่ ฯลฯ ตามแต่จะพูดไปตามสคริปต์
และสอดคล้องกับประกาศิตซึ่งมาจากใครก็หาทราบไม่ว่า รัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน
ก็คือพอดีช่วงธันวา มกรา หลังจากน้ำลด โดยตั้งเป้าให้คนกรุงเทพฯ ไม่พอใจรัฐบาลให้มากที่สุด เพื่อที่ว่ากลุ่มสันติอโศกและASTV ที่ได้ถูกสั่งให้กลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง จะสามารถระดมคนทั่วไปได้นอกเหนือจากกลุ่มจัดตั้ง 3-4 พันคน
และหรือสมาชิกบางพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์สนับสนุนระบอบเผด็จการมาโดยตลอดประวัติศาสตร์การเมืองอันยาวนาน
ส่วนที่ว่าต่อสู้กับรัฐบาลจอมพลถนอมฯ ก็เป็นเพียงการทำงานให้กับอีกระบอบเผด็จการ โดยอาศัยชีวิต นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ไร้เดียงสาในขณะนั้นเป็นเครื่องมือ
การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่พยายามระดมผ่านสื่อและโซเชียลเนตเวิร์ค ด้วยการนำนักวิชาการจะรู้ตัวว่า รับใช้เผด็จการหรือเพื่อผลประโยชน์อะไรก็ตาม มาเป็นตัวชูโรง
หลอกรัฐบาลและประชาชนว่า น้ำท่วมเป็นเรื่องธรรมชาติ เราต้องปล่อยให้น้ำผ่านกรุงเทพฯลงไปสู่ทะเล ซึ่งผลเราก็พอทราบว่าเพียงแค่พังประตูน้ำแห่งสองแห่ง น้ำยังเข้ามาเขตชั้นในอย่างรวดเร็ว และระบายไปได้ช้ามาก เพราะติดกับสิ่งปลูกสร้าง
ทั้งจะเน่าขังตามตรอก ซอก ซอยต่างๆ เป็นเวลานาน ยังไม่รวมการรายงานข้อมูลเท็จกับรัฐบาลอีกมากมายจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งที่ทำงานโดยตรง ทั้งที่รีบแกล้งเข้ามาร่วมทำงานแล้วแยกตัวออกไปให้ข่าว ใส่ร้ายป้ายสี
ซึ่งในที่สุดก็พบว่าล้วนมีความสนิทสนมกับระบอบอำมาตย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับองค์กรหรือบุคคล ก็ตาม
ส่วนสื่อต่างๆ ก็อาศัยการที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาด้วยระบบที่ไม่อิงความต้องการของประชาชน แต่ยึดติดกับระบอบเหมือนอำมาตย์คือการวิ่งเต้น เส้นสาย ทุนสามานย์ ทำให้คนที่มาเป็นรัฐมนตรีไม่มีคุณภาพเป็นส่วนใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการสื่อสารกับประชาชนทั้งวิทยุ โทรทัศน์ เวปไซท์ ล้วนแต่โจมตีรัฐบาล และบล๊อกความคิดเห็นของเสรีชนทั้งสิ้น เข้าทำนอง
เอ็งจะทำอะไรรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยยังไงก็ช่าง ข้าขอเสวยสุข เป็น อ้าย อี เฉยอยู่อย่างนี้และมองแต่สัมปทานที่จะผ่านมือเพื่อหากำไรในชีวิตเท่านั้น
เป้าหมายที่ชัดเจนของฝ่ายอำมาตย์ในขณะนี้คือ เมื่อไม่สามารถเสกน้ำฝนให้มากระหน่ำคนกรุงได้ ก็ขอให้คนกรุงลำบากยากแค้นให้ยาวนานที่สุด
เพราะรู้ดีว่าในต่างจังหวัดแม้ว่าคนจะลำบากเพียงใด น้ำจะท่วมหลังคามิดขนาดไหน ก็ยังไว้วางใจรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่ และแม้ว่าจะมีการสร้างข้อตกลงลับต่างๆกับรัฐบาลให้เป็นที่โกรธแค้นกับฝ่าย ประชาธิปไตยมากเพียงใดก็ตาม คนเหล่านี้ก็จะไม่โค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น หากอาศัยทฤษฎี
“คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงโค่นรัฐบาล”ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป้าหมายที่จะโค่นรัฐบาลได้คือคนกรุงเทพเท่านั้น
ดังนั้น การที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมข้ามปีให้ได้จึงเป็นเป้าหมาย การที่จะมีคนกรุงเทพฯจำนวนมากได้รับผลกระทบจึงเป็นเป้าหมาย
ส่วนรัฐบาลก็ยอมเสียสละความทุกข์ยากของประชาชนที่ให้การสนับสนุนคือปริมณฑล เพื่อรักษากรุงเทพฯเขตชั้นในให้ปลอดภัยมากที่สุด ทั้งๆที่รู้ว่าถึงจะทำดีขนาดไหนคนกรุงเทพฯที่ใจดำ ความรู้ทางการเมืองต่ำและความคิดคับแคบพวกนี้ก็ไม่เคยเห็นความดีของรัฐบาล ที่มาจากคนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ดี
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลเลิกเชื่อนักวิชาการคนไทย หันไปรับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ จนได้ข้อสรุปเรื่องบิ๊กแบ๊ก โดยการดำเนินการของ ดร.โจ (พิจิตต รัตกุล) นายประเสริฐ สมะลาภา อดีตปลัด กทม. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต รองอธิบดีกรมชลประทานปัจจุบัน รองผู้ว่ากทม.ในปัจจุบัน การขับเคลื่อนเพื่อเอาชนะน้ำท่วมอย่างเด็ดขาดจึงเกิดขึ้น และได้ผลอย่างที่เห็นทันตา
สิ่งนี้คือการตัดสิน แพ้ ชนะ ทางการเมืองของรัฐบาลกับฝ่ายค้าน และแน่นอนระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายอำมาตย์ด้วยโดยปริยาย
ขบวนการทำลายบิ๊กแบ๊กจึงเกิดขึ้น โดยข้ออ้างว่าบิ๊กแบ๊กทำให้น้ำท่วมด้านเหนือคันกั้นน้ำมากกว่าเดิม บางทีนักการเมืองไร้เดียงสาฝ่ายรัฐบาลก็ไปเข้าทางฝ่ายอำมาตย์ด้วยความไม่รู้ยุทธศาสตร์และจังหวะต่างๆด้วยเช่นกัน (ใครว่างๆเอาบทความต่างๆในไทยอีนิวส์ไปให้อ่านมากๆหน่อย อย่าใช้แต่กำลัง)
ทำไมบิ๊กแบ๊กจึงสำคัญ ก็อาจเห็นได้จากความสามารถในการหยุดน้ำเข้ามายังกรุงเทพฯด้านใน ซึ่งว่ากันว่ามีวงการพนันกันว่า หากน้ำถึงอนุสาวรีย์ฯ จะมีคนเสียเงินกันเป็นล้านๆ และถ้าไม่ถึงก็จะมีคนอีกฝ่ายเสียเงินเป็นล้านๆเช่นกัน นี่คือชาวไฮโซ
คงจำได้ว่าตอนแรก ศปภ.ป้องกัน กทม.ไว้ได้ดีจนไม่รู้จะทำอะไร จึงแอบไปทำลายประตูระบายน้ำที่คลองสามวา เพื่อให้ท่วมเข้ามายังดอนเมือง ซึ่งเปรียบเทียบไปก็เหมือนการยึดทำเนียบรัฐบาลได้นั่นเอง
ดังนั้นถ้าหากรัฐบาลกู้ดอนเมืองกลับมาได้ ก็เหมือนกับการกลับมาได้ทำเนียบรัฐบาลคืนเช่นกัน
เมื่อเห็นดังนี้จึงไม่แปลกที่พอเริ่มวางบิ๊กแบ๊ก โดยยังไม่รู้ผลว่าจะออกหัวหรือออกก้อย พลพรรคของบางพรรคการเมืองได้ลงพื้นที่ ยุแหย่ประชาชนให้ต่อต้านการวางคันกั้นน้ำ โดยเห็นจุดอ่อนของคนไทยที่กำลังได้รับความเดือดร้อนมาเป็นเครื่องมือทางการ เมือง ซึ่งเกิดขึ้นทั้งทางฝั่งดอนเมือง รังสิต บางกรวยและฝั่งธนบุรีไม่มีเว้น
ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลคงใช้เวลาส่วนใหญ่ถือกระเป๋าให้กับรัฐมนตรี กันต่อไป พอวางบิ๊กแบ๊กเสร็จไม่ถึงสามวัน ก็มีกระแสต่อต้านจาก 20 ชุมชนดอนเมือง จนประสบความสำเร็จในการเปิดทางให้เป็นฝายน้ำล้น
และยังจะมีการเดินหน้าแข่งกับเวลาเพื่อพังบิ๊กแบ๊กกันต่อไป เพราะยังเปิดทางน้ำได้ไม่มากพอ ทางฝ่ายรัฐบาลเองก็ได้เตรียมเครื่องสูบน้ำจำนวนมหาศาลให้กับ กทม. จนไม่อาจแก้ตัวอะไรได้อีก
ข้อมูลการไม่เตรียมการขุดลอก คู คลองของกทม.ก็หลุดลอดออกมาจากการสังเกตของชุมชนและแพร่กระจายไปในโซเชีย ลเน็ตเวิร์คอย่างแพร่หลาย ถ้าพังบิ๊กแบ๊กไม่ทัน หรือ ให้มีน้ำเข้ามาไม่มากพอ ก็เท่ากับรัฐบาลประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัดในการต่อสู้กับน้ำท่วมครั้ง นี้
ประการสำคัญที่เผาผลาญจิตใจของฝ่ายอำมาตย์อย่างยิ่งคือ โพล ที่ยังสนับสนุนรัฐบาลนี้อย่างเข้มแข็ง แม้ว่าจะมาจากโพลของฝ่ายตนก็ตาม เวลาก็เดินไปเหมือนกับบั่นทอนไฟชีวิตที่ริบหรี่ใกล้ดับเต็มที
แล้วมีกรณีใดที่คนเหนือคันกั้นน้ำไม่พังคันกั้นน้ำหรือไม่แล้วเขาคิดกัน อย่างไร ลองมาดูชุมชนที่จังหวัดนนทบุรี ที่ไม่คุยโว แต่ทำงานจริงกันบ้าง จากลิงค์นี้ http://hilight.kapook.com/view/64537
สรุปได้ว่ามีชุมชนที่รอดพ้นจากน้ำท่วมเพราะการช่วยเหลือซึ่งกันและกันหลายแห่ง เช่น ชุมชนปากเกร็ด และตัวเมืองนนท์ ครอบคลุมไปยัง แยกสนามบินน้ำ แยกปากเกร็ด ถนนติวานนท์ วัดชลประทาน รพ.โรคทรวงอก สถาบันบำราศนราดูล ชุมชนเรวดี กระทรวงสาธารณสุข
ส่วนฝั่งตะวันออกก็จะเป็นงามวงศ์วาน ประชานิเวศน์ ซอยสามัคคี หมู่บ้านเลียบคลองประปา ทั้งหมู่บ้านยิ่งรวยนิเวศน์ หมู่บ้านนันทวัน ..เป็นต้น ชุมชนเหล่านี้รอดได้เพราะผู้เสียสละเหนือคันกั้นน้ำจำนวนหนึ่งตลอดแนวยาวของ แม่น้ำเจ้าพระยา
ลองมาดูความเห็นของชุมชนผู้เสียสละกันบ้าง ว่าเขาคิดกันอย่างไร แตกต่างจากทางดอนเมืองที่มีการเมืองเข้าไปแทรกแซงมากน้อยแค่ไหน ผู้ติดตามข่าวสารต่างๆน่าจะสามารถพิจารณากันได้เอง ดังนี้
ชาวบ้านฝั่งที่ถูกน้ำท่วมกล่าวว่า ... ถึงแม้ว่าฝั่งของตัวเองจะต้องทุกข์ระทมกับภาวะน้ำท่วมนานกว่า 2 เดือนแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยมีความคิดที่จะพยายามรื้อทำลายแนวคันกั้นน้ำเลยสักนิด อีกทั้งยังช่วยดูแล และร่วมมือร่วมแรงสร้างคันกั้นดังกล่าวให้แข็งแรงกว่าเดิมอีกด้วย ตนไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่น้ำท่วมฝั่งบ้านของตน แต่อาจจะมีเครียด ๆ บ้าง เพราะให้สถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ผ่านไปโดยเร็วเสียที
"ทุกวันนี้ ตนพอใจที่อีกฝั่งไม่ท่วม เพราะถ้าอีกฝั่งท่วมก็จะไม่มีใครช่วยเหลือ ควรเก็บอีกฝั่งหนึ่งไว้เพื่อรองรับ และคอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางด้านนี้ดีกว่า ตอนนี้ตนก็พักอยู่วัดหงษ์ ถ้าตนอยากกลับบ้านเมื่อไร ตนก็แค่ข้ามสะพานกลับมาเท่านั้นเอง มาอยู่ตรงนี้ก็มีเพื่อน มีอะไรทำ ช่วยเขาทำกับข้าวบ้าง กรอกกระสอบทรายบ้างดีกว่า นั่งจมน้ำอยู่ฝั่งนู้น หรือไปศูนย์อพยพ" ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าว
แค่ความเห็นของชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ไม่มีการเมืองแทรกแซง อยู่ห่างจากดอนเมืองไม่เกิน 10 กิโลเมตรนั้น ช่างแตกต่างจากชุมชนดอนเมืองและรังสิตเหลือเกิน
ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือว่าเพิ่งวางบิ๊กแบ๊กเสร็จไม่ถึงสามวัน ทำไมจึงออกมาประท้วงได้รุนแรงถึงขนาดนั้น
มีระบบการพูดได้เหมือนกันถึงขนาดนั้น มีการสัมภาษณ์เป็นคลิปกระจายไปทั่วเวปไซท์ และ ส่งซ้ำๆกันเหมือนมีคนจัดการเป็นจำนวนมาก และเป็นระบบเหมือนทำงานราชการได้ขนาดนั้น จะใช่นักศึกษาและผู้จบการศึกษาใหม่ๆที่ได้รับการจ้างเป็นจำนวนมากจากขบวนการ ลึกลับ ตั้งแต่สมัยปราบปรามเสื้อแดง โดยมีทหารเป็นผู้ควบคุมสั่งการหรือไม่
ทำไมยังไม่เลิกทำงานแบบนี้กันอีก หรือรอเวลากลับมามีอำนาจกันอีกครั้งเพื่อเสพย์สุขกับงบประมาณที่จะได้ปล้นชิง มาจากประชาชนอีกครั้ง
ถึงแม้ลิงค์ที่ได้เสนอไว้จะไม่เห็นด้วยกับการวางบิ๊กแบ๊ก ด้วยชื่อของลิงค์เองก็น่าจะเดาได้ว่าอยู่ฝ่ายไหน แต่ความจริงที่ออกมาจากน้ำใจของประชาชนที่ปราศจาก การเมืองและสื่อเสี้ยม ก็ยังปรากฏให้เห็น
แล้วการพังคันกั้นน้ำช่วยให้น้ำลดจริงหรือ คำตอบไม่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญด้านน้ำหรือเป็นชาวบ้านดูระดับน้ำเอง ก็จะเห็นว่าน้ำจะปรับระดับให้เสมอกัน ที่ท่วมก็ยังท่วมเท่าเดิม หรือจะกลับน้ำลดช้าลงไปอีก
เหตุผลก็เพราะในด้านเหนือนั้นพื้นที่รองรับน้ำอยู่ด้านตะวันออกจึงจะมีช่อง ทางและคลองระบายน้ำได้สะดวก การวางคันกั้นน้ำก็เพื่อบังคับน้ำให้วิ่งไปทางตะวันออกและมีการบริหารน้ำได้ ด้วยเครื่องสูบน้ำ
ถ้าพังคันกั้นน้ำน้ำก็จะหมุนวนอยู่ด้านเหนือลงใต้ และเมื่อโดยหลักแล้วย่อมไม่สามารถพังบิ๊กแบ๊กได้ตลอดแนว น้ำก็จะมาเอ่อคอยระบายลงล่างไม่ยอมไปทางด้านตะวันออก สูบก็ไม่ไป ที่ว่าน้ำจะลดก็เป็นไปไม่ได้
และถ้าคิดจะพังบิ๊กแบ๊กทั้งหมดเหตุการณ์ก็จะเป็นเหมือนช่วงแรกคือน้ำทะลัก เข้าด้านใน แต่ก็ติดสิ่งก่อสร้างจำนวนมาก น้ำก็จะยังเอ่อ ไหลช้า และก็ยังท่วมที่เดิมอยู่ดีไม่มีทางออก
หมายถึงการพังบิ๊กแบ๊ก ไม่ทำให้น้ำลดลงแต่กลับทำให้น้ำท่วมขังทั้งด้านบนและด้านล่างคันกั้นน้ำสม ความตั้งใจของฝ่ายอำมาตย์ก็เท่านั้นไม่มีอะไรอื่น
คนเสียคือประชาชนและรัฐบาลส่วนคนได้คือฝ่ายเผด็จการ สลิ่ม และพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ทำงานเรื่องนี้อย่างแข็งขันเท่านั้น
ก็ขอเรียนให้ นปช. หรือนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลให้เห็นยุทธศาสตร์นี้ และโปรดเข้าไปทำความเข้าใจและนำความช่วยเหลือ อาหาร น้ำ เรือ การสัญจรต่างๆให้กับประชาชนในพื้นที่ รังสิต ดอนเมือง บางกรวย และฝั่งธนบุรีโดยเร็ว
ส่วนกระเป๋าของนักการเมืองนั้นให้หัดถือเองบ้าง ไม่เช่นนั้นจะเป็นฝ่ายค้านเร็วกว่าที่คิด หรือว่าติดใจเพราะได้ชุมนุม ได้ปราศรัยเอามันกัน
เป็นรัฐบาลมันคงไม่สนุกละกระมัง
*************